หุ้น WFX ปิดเทรดช่วงเช้าที่ 9.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.80 บาท หรือ 25% จากราคาขาย IPO ที่ 7.20 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 2,081.98 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 9.35 บาท ราคาปรับขึ้นสูงสุดที่ 9.70 บาท ราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 8.80 บาท
บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ว่า โดยประเมินกำไรสุทธิของ บมจ.เวิลด์เฟล็กซ์ (WFX) ปี 2564 เพิ่มขึ้น +382% YoY อยู่ที่ 279 ล้านบาท และปี 2565 เพิ่มขึ้น +14% YoY อยู่ที่ 318 ล้านบาท จากสมมติฐาน 1)gross margin ปี 2564/2565 อยู่ที่ 15% และ 14.5% ตามลำดับเพิ่มขึ้นจาก 7.4% ของปี 2563 จาก economies of scale 2)รายได้ปี 2564/2565 อยู่ที่ 3,595 ล้านบาท (+50% YoY) และ 4,120 ล้านบาท (+15% YoY) จากการเพิ่มกำลังการผลิต และได้ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น
3)SG&A/Sales ปี 2565 ลดลงเหลือ 4.5% จาก 4.9% ของปี 2564 จากรายได้ที่มากขึ้น และ 4)Tax ปี 2565 ลดเหลือ 16.5% จาก 18% ของปี 2564 จาก BOI
ทั้งนี้ ประเมินมูลค่าหุ้น WFX ที่ 12.40 บาท/หุ้น ด้วยวิธี 2022E PER ที่ 18 เท่า เท่ากับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม Fashion โดยคาดว่า 2564/2565 มีกำไรสุทธิเติบโต +382%/+14% ตามลำดับ โดยผลการดำเนินงานของบริษัทฯจะเติบโตได้โดดเด่นจากธุรกิจแผนขยายกำลังการผลิตต่อเนื่อง โดยใช้ความได้เปรียบด้านต้นทุนบริษัทจึงใช้กลยุทธ์เชิงรุกเข้าไปเจาะกลุ่มตลาดใหม่มากขึ้น
WFX เป็นหนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดรายใหญ่ในโลก มีผลิตภัณฑ์เส้นด้ายยางยืดครอบคลุมในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของกลุ่มลูกค้า โดยสินค้าของบริษัทจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศภายใต้แบรนด์ของบริษัทเอง โดยกลุ่มลูกค้าหลักคือประเทศจีนคิดเป็นประมาณ 75% ของรายได้รวม
ผลการดำเนินงานของบริษัทอยู่ในช่วงเติบโตจากการใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ รวมถึงชิงส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่งจากความได้เปรียบในด้านต้นทุนยางพาราธรรมชาติที่ถูกกว่าคู่แข่ง เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งนี้หลังจากได้เงินจากการเพิ่มทุนบริษัทมีแผนจะนำไปขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับคำสั่งซื้อล่วงหน้าของบริษัทที่มีมาอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมากอีกทั้งการเพิ่มกำลังการผลิตจะช่วยให้ Net margin ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจาก economies of scale รวมถึงความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น