โบรกเกอร์ต่างเชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) ผลดำเนินงานยังเติบโตดี แม้ระยะสั้นจะผ่านจุดพีคในไตรมาส 3/64 ไปแล้ว แต่ผลงานในไตรมาส 4/64 ยังเติบโตได้เมื่อเทียบ yoy โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิในไตรมาส 4/64 ราว 600-800 ล้านบาท เติบโต 136-215% yoy หลัก ๆ มาจากลูกค้าทั่วไปที่ฟื้นตัวขึ้น ขณะที่การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ก็ยังมีอยู่ ทำให้ CHG มีรายได้จากการตรวจหาเชื้อ และการรักษาอยู่ และโรงพยาบาลใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลรวมแพทย์ฉะเชิงเทรา (RPC) และโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 304 อินเตอร์ จะช่วยหนุนกำไรในไตรมาส 4/64
ทั้งนี้ กำไรสุทธิในปี 64 คาดว่าจะอยู่ในช่วง 705 ล้านบาท ถึง 2.9 พันล้านบาท รับอานิสงส์จากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 รวมถึงลูกค้าทั่วไปก็กลับมาฟื้นด้วย ขณะที่ปี 65 กำไรมีโอกาสดีกว่าคาด หากไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอนกลับมาระบาด นอกจากนี้ CHG ยังมีการลงทุนในการสร้างโรงพยาบาลใหม่ 3 แห่ง ซึ่งจะทยอยเปิดใน 1-2 ปีข้างหน้า ซึ่งสามารถรองรับการเติบโตในอนาคตได้
ด้านราคาหุ้น CHG ที่พักตัวก็เป็นจังหวะที่น่าสนใจเข้าลงทุน เนื่องจากปัจจุบันเทรด P/E 26-29 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่เทรด P/E 35 เท่า
ราคาหุ้น CHG ปิดเที่ยงอยู่ที่ 3.60 บาท ลดลง 0.04 บาท (-1.10%) ขณะที่ ดัชนี SET +1.08%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) โนมูระ พัฒนสิน ซื้อ 4.80 ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี ซื้อ 4.77 ดีบีเอส วิคเคอร์ส ซื้อ 4.70 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 4.70 บัวหลวง ซื้อ 4.60 ฟิลลิป ซื้อ 4.60 เคทีบีเอสที ซื้อ 4.50 เมย์แบงก์ ซื้อ 4.40
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ผลดำเนินงานของ CHG ยังมีการเติบโตที่ดี แม้ระยะสั้นจะผ่านจุดพีคในไตรมาส 3/64 ไปแล้ว แต่ผลงานในไตรมาส 4/64 ยังเติบโตได้เมื่อเทียบ yoy โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิในไตรมาส 4/64 ราว 600 ล้านบาท เติบโต 136% yoy หลัก ๆ มาจากลูกค้าทั่วไปที่ฟื้นตัวขึ้น ขณะที่การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ก็ยังมีอยู่ ทำให้ CHG มีรายได้จากการตรวจหาเชื้อ และการรักษาอยู่ และถ้าไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอนกลับมาระบาดทาง CHG ก็จะได้รับประโยชน์ไปอีก
นอกจากนี้ ในปี 65 คาดว่ากำไรของ CHG จะมีมากกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบจากปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดโควิด-19 โดยคาดว่ากำไรสุทธิของ CHG ในปี 65 จะมี 1,410 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิในปี 64 ที่คาดว่าจะมี 705 ล้านบาท รับอานิสงส์จากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ยังมีรายได้จากการตรวจหาเชื้อ และการรักษาอยู่ รวมถึงลูกค้าทั่วไปก็กลับมาฟื้นด้วย ทั้งนี้ CHG ยังมีการลงทุนในการสร้างโรงพยาบาลใหม่ 3 แห่ง ซึ่งจะทยอยเปิดใน 1-2 ปีข้างหน้า ซึ่งสามารถรองรับการเติบโตในอนาคตได้
"ราคาหุ้น CHG ที่พักตัวก็เป็นจังหวะที่น่าสนใจเข้าลงทุน เนื่องจากปัจจุบันเทรด P/E ปี 65 ที่ 28-29 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่เทรด P/E 35 เท่า"
ด้านบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า CHG กำไรสุทธิไตรมาส 3/64 เท่ากับ 1.56 พันล้านบาท เติบโต +455%YoY +171%QoQ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากรายได้ที่มาจากโรคโควิด-19 จึงปรับเพิ่มกำไรสุทธิปี 64 ขึ้น +35% สะท้อนกำไรไตรมาส 3/64 ที่ดีกว่าคาด
แนวโน้มยังไปได้ดี คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/64 จะเติบโตได้ YoY ส่วนปี 65 กำไรสุทธิจะลดลงจากฐานที่สูงมากแต่ยังมากกว่าปี 62-63 อย่างไรก็ตามหากไวรัสกลายพันธุ์โอมิครอนกลับมารุนแรง ก็จะทำให้กำไรปี 65 มีโอกาสจะดีกว่าคาด
ส่วนบล.บัวหลวง ระบุว่า CHG กำไรในไตรมาส 4/64 จะเติบโต YoY แต่ลดลง QoQ เนื่องจากฐานที่สูงเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 3/64 โดยรายได้ในไตรมาส 4/64 จะเติบโต YoY จากอุปสงค์ของผู้ป่วยทั่วไปที่จะทะลักเข้ามา แต่จะลดลง QoQ จากรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิดที่ลดลง ขณะที่อัตรากำไรหลักมีแนวโน้มที่จะขยายตัวขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ จากฐานที่สูงในไตรมาส 3/64 ที่ 35.1% นอกจากนี้โรงพยาบาลใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลรวมแพทย์ฉะเชิงเทรา (RPC) และโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 304 อินเตอร์ จะช่วยหนุนกำไรในไตรมาส 4/64 ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ให้บริการที่เกี่ยวกับโควิด
พร้อมปรับประมาณการกำไรปี 2564 ขึ้นอีก 44% ไปเป็น 2.9 พันล้านบาท เติบโต 230% YoY เพื่อสะท้อนถึงกำไรที่เซอร์ไพร์ในไตรมาส 3/64 และแนวโน้มที่ดีในไตรมาส 4/64 ทั้งนี้ กำไรหลัก 9 เดือนแรกของปี 2564 คิดเป็น 82% ของประมาณการกำไรใหม่ สำหรับปี 2565 คาดกำไรหลักที่ 1.4 พันล้านบาท ลดลง 51% YoY เนื่องจากฐานที่สูงในปี 2564
สำหรับบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุมีมุมมอง Slightly Positive ต่อข้อมูลจากผู้บริหาร CHG เนื่องจากการใช้บริการของลูกค้าทั่วไปเริ่มกลับมาใช้บริการราว 50% เทียบกับช่วงปกติ และมีโอกาสรับรู้รายได้ส่วนเพิ่มภาระเสี่ยง ทำให้กำไรสุทธิไตรมาส 4/64 อาจดีกว่าที่คาดว่าจะมีกำไรราว 800 ล้านบาท (+215%y-y -49%q-q) รวมถึงการบริหารศูนย์หัวใจโรงพยาบาล 4 แห่ง และการรับบริหาร โรงพยาบาลจะทำให้มีรายได้เพิ่มเติมราว 1,000 ล้านบาทต่อปีจากฐานรายได้ปกติ (ปี 2562) ขณะที่ต้นทุนและค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นน้อยกว่า ทำให้คาดว่าอัตราทำกำไรสุทธิ (%Net margin) ของ CHG มีแนวโน้มสูงกว่าช่วงก่อนโควิดมี %Net margin เฉลี่ย 13-14%
โดยภาพรวมชอบ CHG จากการเป็นโรงพยาบาลที่มีจุดเด่นอัตราทำกำไรสุทธิ (%Net margin) สูง นอกจากนี้ มองว่าการรับบริหารศูนย์หัวใจกับโรงพยาบาล 3 แห่ง (นอกเครือ CHG) จะเป็นโอกาสขยายฐานลูกค้ากลุ่ม A-class และเพิ่ม Intensity ค่ารักษาโรคที่มีซับซ้อนในช่วงหลังโควิด ขณะที่ราคาหุ้น CHG ปัจจุบันซื้อขาย PE ปี 65-66 ที่ 26 เท่า ต่ำกว่า -1.0SD PE อดีต และต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด