บมจ. เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 200 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.00% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายครั้งนี้ มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ทั้งนี้จะเข้าตลาด mai โดยมีบล.ทรีนีตี้เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
บริษัทฯมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในการซื้อที่ดินและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ หรือเพื่อขยายธุรกิจของบริษัทฯและบริษัทย่อย ,ชำระคืนหนี้เงินกู้ยืม และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัทฯและบริษัทย่อย
บมจ. เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป ก่อตั้งเมื่อวันที่ 9 มี.ค.56 ด้วยทุนจดทะเบียน 5,000,000 บาท ประกอบธุรกิจหลักในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยเพื่อขาย แบ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบประกอบด้วย บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียมชั้นเตี้ย ภายใต้ชื่อโครงการ Blessington, Mellizo Park, Bless Town, Blessity Park, Bless Ville และ Bleisure ซึ่งแบ่งตามประเภทโครงการและกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
โดยมีนายชัยวัฒน์ โกวิทจินดาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทฯ เป็นผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และเป็นผู้บริหารในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมากว่า 20 ปี ก่อนย้ายออกมาและก่อตั้งบริษัทฯ ขึ้นโดยมีความเชื่อมั่นที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ปัจจุบัน บริษัทฯ เน้นทำโครงการที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 บริษัทฯ มี 1) โครงการที่ปิดการขายแล้ว จำนวน 6 โครงการ 2) โครงการที่อยู่ในระหว่างการขาย 8 โครงการ และ 3) โครงการในอนาคต จำนวน 1 โครงการ โดยบริษัทฯ แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2564 โดยมีทุนจดทะเบียน 400.00 ล้านบาท และทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 300.00 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 600,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท
สำหรับกลุ่มผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทฯ ประกอบด้วย กลุ่มโกวิทจินดาชัย ก่อนการเสนอขายหุ้นสามัญ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564 ถือหุ้นในสัดส่วน 53.25% และภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จะลดลงเหลือ 39.94% และกลุ่มสุขเจริญไกรศรี ถือหุ้นในสัดส่วน 41.75% โดยภายหลังการ IPO จะลดลงเหลือ 31.31%
บริษัทฯ มุ่งมั่นในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่พักอาศัยแนวราบและเป็นบริษัทฯ ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยบริษัทฯ มีแผนการพัฒนาโครงการในอนาคตที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายในแต่ละพื้นที่ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดข้างเคียงที่มีศักยภาพ มุ่งเน้นทำเลที่มีศักยภาพและมีสิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิต โดยในการดำเนินธุรกิจ บริษัทฯ จะพิจารณาอย่างรอบคอบในทุกขั้นตอนของการดำเนินงาน เพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดแก่บริษัทฯ และผู้มีส่วนได้เสีย
ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 บริษัทฯ มีโครงการในอนาคตที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งเป็นโครงการที่มีการซื้อที่ดินและเริ่มพัฒนาแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำการเปิดการขาย จำนวน 1 โครงการ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 720 ล้านบาท โดยมีชื่อว่าโครงการเบล็สซิงตัน วงแหวนฯ-ลำลูกกา ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว สไตล์ยุโรปร่วมสมัย คาดว่าจะเปิดการขายได้ประมาณ ไตรมาส 1/2565
ด้านผลการดำเนินงานบริษัทฯ รับรู้รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิในที่ดินและที่อยู่อาศัยให้แก่ลูกค้า และจะบันทึกรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เท่ากับราคาขายหักด้วยค่าใช้จ่ายผันแปรที่บริษัทฯ ให้แก่ลูกค้า เช่น ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ ค่าเฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้ไฟฟ้า ค่าส่วนกลาง เป็นต้น รายได้จากการขายและให้บริการประกอบด้วย รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ และรายได้จากงานรับเหมาก่อสร้างและขายวัสดุก่อสร้าง
โดยรายได้จากการขายและให้บริการสำหรับงวดปี 2561-2563 ของบริษัทฯ เท่ากับ 492.60 ล้านบาท 569.84 ล้านบาท และ 906.13 ล้านบาท โดยคิดเป็นสัดส่วน 99.73%, 99.79% และ 99.91% ของรายได้รวม ตามลำดับ และรายได้หลักจากการประกอบธุรกิจ สำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 และ 30 กันยายน 2564 เท่ากับ 664.32 ล้านบาท และ 574.83 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 99.91%, และ 99.81% ของรายได้รวม ตามลำดับ
กำไรสุทธิสำหรับปี 2561-2563 ของบริษัทฯ เท่ากับ 44.41 ล้านบาท 82.65 ล้านบาท และ 114.54 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิ เท่ากับ 8.99%, 14.48% และ 12.63% ตามลำดับ และกำไรสุทธิ สำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 และ 30 กันยายน 2564 เท่ากับ 86.30 ล้านบาท และ 55.22 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 12.98% และ 9.59% ตามลำดับ
บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินสำรองต่างๆ ตามที่กฎหมายและบริษัทฯ กำหนดไว้ในแต่ละปี และภาระผูกพันตามเงื่อนไขของสัญญาทางการเงิน (ถ้ามี)