นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom) บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 65 คาดว่าเติบโตราว 15-20%
ทั้งนี้ เป็นการคาดการณ์ตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 65 ที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3.5-4% ของทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) เป็นผลมาจากการที่รัฐบาลมีมาตรการเปิดประเทศ ให้มีการเดินทางท่องเที่ยวได้เพิ่มขึ้น
รวมถึงมาตรการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) เป็นการชั่วคราว โดยกำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) เป็น100% สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ซึ่งมีผลจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 65
จากแนวโน้มดังกล่าว LPN Wisdom คาดการณ์ว่า ในปี 65 จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลที่ 78,000-90,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 3.05-3.18 แสนล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 15-20% เมื่อเทียบกับปี 64 เนื่องจากผู้ประกอบการเริ่มมีความมั่นใจ ทำให้ทยอยเปิดตัวโครงการที่ถูกเลื่อนการเปิดตัวในปี 64 มาเปิดตัวในปี 65 รวมถึงแผนเปิดตัวโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้นในปี 65
โดยที่ที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงมาแรง ซึ่งบ้านพักอาศัยประเภท บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ยังคงเป็นกลุ่มสินค้าที่จะมีการเปิดตัวมากในปี 65 โดยจะเพิ่มขึ้น 40-50% เมื่อเทียบกับปี 64 เพื่อตอบรับกับความต้องการบ้านพักอาศัยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากลักษณะการทำงาน work from home ที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้อยู่อาศัย โดยประเมินว่าหน่วยเปิดตัวบ้านพักอาศัยจะอยู่ที่ ประมาณ 46,800-54,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 1.83-1.9 แสนล้านบาท
ขณะที่แนวโน้มการเปิดตัวคอนโดมิเนียมในปี 65 มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น 10-15% จากปี 64 เช่นกัน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชะลอแผนการเปิดตัวคอนโดมิเนียม และเร่งขายคอนโดมิเนียมที่คงค้างอยู่ออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้มีจำนวนหน่วยเหลือขายคอนโดมิเนียมในตลาดลดลง ณ ไตรมาส 3/64 หน่วยเหลือขายคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล มีจำนวน 83,914 หน่วย ลดลง 7.6% จาก ณ สิ้นปี 63 ที่มีหน่วยเหลือขายในตลาดอยู่ที่ 90,841 หน่วย
ด้านกำลังซื้อและความต้องการที่อยู่อาศัยในตลาดในปี 65 ที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมที่ระดับราคา 3-5 ล้านบาท ยังเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะในทำเลที่อยู่ใกล้กับแนวรถไฟฟ้าทั้งสายใหม่และสายเก่า โดยทำเลที่ได้รับการตอบรับที่จากตลาด ได้แก่ ทำเลที่ติดกับส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว สีแดง และสายสีเหลือง เช่น ย่านรังสิต-นวนคร ศรีนครินทร์-สุวรรณภูมิ อ่อนนุช-บางนา ดอนเมือง-พหลโยธิน เป็นต้น
ส่วนราคาที่อยู่อาศัยในปี 65 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามระดับราคาที่ดินที่ขยับเพิ่มขึ้นตามการพัฒนาของระบบขนส่งในระบบรางที่เชื่อมต่อพื้นที่ระหว่างกรุงเทพฯชั้นในกับกรุงเทพฯชั้นนอก รวมไปถึงราคาวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น โดยประมาณว่าราคาที่อยู่อาศัยจะมีการปรับตัวขึ้นมาประมาณ 5-10% ขึ้นอยู่กับทำเล อย่างไรก็ตามผู้ซื้อยังคงสามารถต่อรองได้ขึ้นอยู่กับสภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการในแต่ละทำเล
ทั้งนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและความมั่นใจของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน และแนวโน้มการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน หากเกิดการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงอีกรอบ อาจส่งผลประทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 65 ได้เช่นกัน
"ปี 64 เป็นปีที่ภาคอสังหาฯ ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว มาตรการผ่อนคลายต่างๆ จากภาครัฐ เป็นปัจจัยที่จะหนุนอสังหาฯในปี 65 ให้สามารถเติบโตได้ หลังจากที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 63-64 ถึงแม้ภาคอสังหาฯจะยังไม่ฟื้นกลับไปเท่ากับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด แต่เชื่อว่าปี 65 จะเป็นปีแห่งความหวังและโอกาสสำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯ และผู้ซื้ออสังหาฯที่จะได้สินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม" นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว