นายณัฐพล วิมลเฉลา ประนเจ้าหน้าที่ริหาร บมจ.สยามราชธานี (SO) เปิดเผยว่า การแต่งตั้งนายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา (ท็อป) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (บิทคับ) เข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการ กรรมการอิสระ และกรรมการยุทธศาสตร์ของ SO แทนกรรมการที่ลาออกไปเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 64 ซึ่งมีผลตั้งแต่ 4 ม.ค. 65 เนื่องจากบริษัทมองเห็นถึงโอกาสในการที่ได้นายจิรายุส เข้ามาร่วมงานที่จะเสริมศักยภาพในด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับ Web 3.0 จากที่ปัจจุบันเริ่มมีการเปลี่ยนผ่านจาก Web 2.0 ไปสู่ Web 3.0 ซึ่งในต่างประเทศปัจจุบันมีความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็น Web 3.0 มากขึ้น
ทั้งนี้ นายจิรายุส ถือเป็นผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยี ซึ่งจะนำมามุมมองความรู้ทางด้านเทคโนโลยีของคุณท็อป จิรายุส มาประยุกต์และเชื่อมโยงไปในการดำเนินยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของบริษัท เพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับ SO รองรับการติบโตของธุรกิจต่อไปอย่างต่อเนื่อง
"คุณท็อปจะเข้ามาช่วย SO ในด้านการวิเคราะห์ และนำมุมมองของเขามาใช้ที่เกี่ยวข้องกับด้านเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาศักยภาพผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทที่เป็นทำด้าน Outsourcing ซึ่งนำมาต่อยอดศักยภาพด้านเทคโนโลยี ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพให้เราได้มากขึ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านจาก Web 2.0 ไปสู่ Web 3.0 ที่ปัจจุบันในต่างประเทศมีความต้องการบุคคลากรที่ทำงานเกี่ยวข้องกับ Web 3.0 มาก และในไทยแม้ว่าจะยังมีความต้องการไม่มากนัก แต่มองว่าในอนาคตจะมีเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้บริษัทต้องมีการเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า
และคุณท็อปก็เข้ามาส่วนหนึ่งในการเข้ามาร่วมทำงานในเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆที่เสริมศักยภาพให้กับบริษัท ก็ได้คุยกันมาสักพักหนึ่งแล้ว และผมเองก็รู้จักและสนิทกับคุณท็อปอยู่แล้ว ซึ่งมั่นใจว่าการทำงานร่วมกันจะช่วยสร้างการเติบโตและพัฒนาศักยภาพให้กับบริษัทได้เพิ่มขึ้น แต่ SO คงไม่เกี่ยวข้องกับคริปโทฯ เพราะเราไม่มีใบอนุญาต แต่อาจจะมีที่เกี่ยวกับบล็อกเชนที่ SO มีการให้บริการอยู่แล้ว" นายณัฐพล กล่าว
ขณะที่แนวโน้มของธุรกิจในปี 65 บริษัทยังมั่นใจว่าจะเห็นการเติบโตขึ้นของกำไรได้ต่อเนื่อง เบื้องต้นคาดว่ากำไรในปี 65 จะเติบโตได้ในระดับตัวเลข 2 หลัก จากปีนี้ที่มั่นใจว่ากำไรจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 150-160 ล้านบาท โดยที่มีปัจจุบัยหนุนมาจากปริมาณงานของลูกค้าที่บริษัทได้รับยังคงมีเข้ามาต่อเนื่อง
และจะมีการเข้าซื้อกิจการ (M&A) บริษัทด้าน IT Outsourcing ที่มีโปรแกรมเมอร์ด้านไอทีเป็นจำนวนมาก สามารถเข้ามารองรับการให้บริการกับลูกค้าได้มากขึ้น ทำให้บริษัทสามารถสร้างการเติบโตของผลการดำเนินงานได้ โดยที่ดีล M&A บริษัทด้าน IT Outsourcing จะมีความชัดเจนในช่วงต้นปี 65
"ปีหน้าเรายังมองผลงานเติบโตต่อเนื่องได้ ถ้าไวรัสตัวใหม่ไม่แพร่ระบาดไปมากจนล็อกดาวน์ เพราะถ้ามีการล็อกดาวน์ลูกค้าเราที่ส่วนใหญ่เป็นองค์กรต่างๆก็จะชะลอกัน แต่หลังจากวิกฤตก็จะมีงานเข้ามามาก เพราะช่วงที่มีการเปิดกลับมาธุรกิจก็มีความต้องการใช้คนมากขึ้น งานก็จะเร่งกันเข้ามา ซึ่งก็ดีต่อการฟื้นตัวกลับมาของเรา แต่ปีหน้าเราจะมีบริษัท IT Outsourcing ที่เรา M&A เข้ามาเสริม ซึ่งมีโปรแกรมเมอร์เป็นจำนวนมาก ทำให้เราสามารถรองรับการบริการลูกค้าได้มากขึ้น ทำให้เรายังมีการเติบโตได้ต่อเนื่อง" นายณัฐพล กล่าว