บมจ.ช.ทวี (CHO) ระดมทุนรูปแบบ SPAC ในสหรัฐอเมริกาผ่านบริษัท Arogo Capital Acquisition Corp. มูลค่ากว่า 3.6 พันล้านบาท เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.64 ตั้งราคาเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรกจำนวน 9,000,000 หน่วย ที่ 10.00 เหรียญสหรัฐต่อหน่วย สามารถขายได้ครบทั้งจำนวน 90 ล้านเหรียญสหรัฐ และเนื่องจากมียอดจองซื้อจากนักลงทุนจำนวนเสนอขาย จึงเสนอขายเพิ่มเติม (Green shoe Option 15%) อีกจำนวน 1,350,000 หน่วย รวมขายได้ 10,350,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 103.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.6 พันล้านบาท
โดยจดทะเบียนในตลาด Nasdaq Global Market และได้เริ่มซื้อขายในวันที่ 27 ธ.ค.64 ภายใต้ชื่อย่อ AOGOU แต่ละหน่วยประกอบด้วยหุ้นสามัญคลาส A หนึ่งหุ้นและใบสำคัญแสดงสิทธิที่ไถ่ถอน (Warrant) ได้หนึ่งใบซึ่งให้สิทธิแก่ผู้ถือในการซื้อหุ้นสามัญประเภท A หนึ่งหุ้นในราคา 11.50 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น เมื่อหลักทรัพย์ที่ประกอบด้วยหน่วยเริ่มซื้อขายจะแยกกันเป็น หุ้นสามัญประเภท A และใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) จะถูกจดทะเบียนในตลาด NASDAQ ภายใต้สัญลักษณ์ AOGO และ AOGOW ตามลำดับ นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CHO เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจผลการดำเนินงานในปี 64 จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ แม้ว่า 9 เดือนแรกจะมีผลขาดทุนราว 256.58 ล้านบาท และจะส่งผลให้งบดุลของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากบริษัทเตรียมบันทึกกำไรจากระดมทุนของ Arogo Capital Acquisition และเข้าจดทะเบียนในตลาด Nasdaq Global Market เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ที่ผ่านมา Arogo Capital Acquisition จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปใช้ในการขยายกิจการด้านเทคโนโลยียานพาหนะไฟฟ้าทุกรูปแบบ (EV) Smart Mobility ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า ซอฟต์แวร์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า สถานีชาร์จรถไฟฟ้า หรือการขนส่งที่ยั่งยืนและระบบนิเวศทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลา 6-8 เดือนในการศึกษาการเข้าลงทุนในบริษัทต่างๆ และใช้ระยะเวลาอีก 3-6 เดือนตรวจสอบฐานะทางการเงินก่อนจะลงทุน นอกจากนี้ Koo Dom Investment Limited Liability Company (Koo Dom) ซึ่งมี CHO เป็นผู้ถือหุ้นทั้ง 100% จดทะเบียนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เตรียมที่จะจัดตั้งบริษัทย่อยเพิ่เติมอีก 1 แห่ง เพื่อเข้าระดมทุนในตลาด Nasdaq Global Market ตามกฎเกณฑ์การระดมทุนในรูปแบบ SPAC ในปี 65 เพิ่มเติม เพื่อนำเงินไปใช้ขยายกิจการรองรับการเป็น Tech Company เพื่อที่จะการเติบโตรอบใหม่ (New S-curve) ของบริษัท
พร้อมกันนั้น บริษัทยังเตรียมเปิดขายพื้นใน Siam Metaverse ในช่วงไตรมาส 4/65 ปัจจุบันเริ่มมีผู้ให้ความสนใจเข้ามาพูดคุยจำนวนมาก รวมไปถึงการพัฒนาธุรกิจไปยังกลุ่ม Blockchain โดยการเตรียมออกเหรียญดิจิทัลเพื่อสิ่งแวดล้อมและกิจการเพื่อสังคม รวมไปถึงการออก Non-Fungible-Tokens (NFT) ให้แก่ชาวบ้าน และ ชุมชนเพิ่มเติมด้วย ด้านทิศทางผลประกอบการในปี 65 บริษัทคาดว่ารายได้จะฟื้นกลับมาใกล้เคียงปี 60 ที่มีรายได้ 1.6 พันล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) ราว 1.6 พันล้านบาทที่จะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาทในปีหน้า และยังคงเดินหน้าประมูลงานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังจะรับรู้รายได้ใเข้ามาเพิ่มเติมจากการขยายธุรกิจใหม่ด้าน Smart Mobility และ Tech Company ด้วย