BGH จะเข้าซื้อหุ้น RAM เพิ่มเป็น 26.18% ทำเทนเดอร์ฯ/ออกหุ้นกู้ 7พันลบ.

          นายวัลลภ อธิคมประภา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่  บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ(BGH) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้บริษัทลงทุนเพิ่มเติมในบมจ. โรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) เพื่อเข้าถือหุ้นเพิ่มเป็น 26.18% พร้อมกับจัดทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์(เทนเดอร์ออฟเฟอร์)ในส่วนที่เหลือที่ราคา 480 บาท/หุ้น
          ในขั้นตอนแรก BGH จะเข้าซื้อหุ้น RAM จำนวน 5.9 แสนหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 4.92% จากผู้ถือหุ้นเดิมเป็นการเฉพาะเจาะจง ในราคาหุ้นละ 480 บาท รวมเป็นเงิน 283.2 ล้านบาท  ภายหลังการเข้าซื้อหุ้นจำนวนดังกล่าว บริษัทจะถือหุ้นใน RAM เป็น 23.92% จากเดิมถือ 19% คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จก่อนการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทที่จะจัดให้มีขึ้นภายในเดือนธันวาคม 2550
          จากนั้นก็จะเข้าทำสัญญาซื้อหุ้นของ RAM อย่างมีเงื่อนไขจากผู้ถือหุ้นเดิม เป็นการเฉพาะเจาะจงจำนวน 271,700 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 2.26% ในราคาหุ้นละ 480 บาท รวมเป็นเงิน 130.42 ล้านบาท 
          ภายหลังจากการเข้าซื้อหุ้น RAM เพิ่มเติมในสัดส่วนดังกล่าวแล้วจะทำให้บริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นใน RAM คิดเป็นสัดส่วน 26.18% ส่งผลให้บริษัทมีหน้าที่ต้องทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์หุ้นทั้งหมดของ RAM  ซึ่งการเข้าซื้อหุ้นตามสัญญาซื้อหุ้นดังกล่าวจึงอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าบริษัทต้องได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทให้ทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ RAM และทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ RAM ในราคาหุ้นละ 480 บาท ซึ่งเป็นราคาซื้อขายหุ้นที่บริษัทได้หุ้นมาในระหว่าง 90 วันก่อนวันยื่นคำเสนอซื้อต่อ
สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.
          อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทไม่มีความประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์การดำเนินธุรกิจหลักของ RAM ในสาระสำคัญ รวมทั้งไม่ได้ประสงค์ที่จะดำเนินการเพิกถอนหุ้นของ RAM จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนแนวทางการเพิกถอนหลักทรัพย์จะขึ้นอยู่กับผลของการทำคำเสนอซื้อ ซึ่งหากผลของการทำคำเสนอซื้อ RAM ทำให้ RAM ไม่สามารถดำรงคุณสมบัติเพื่อดำรงสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียนได้ หรือมีเหตุแห่งการเพิกถอนหุ้นเหตุอื่นและบริษัทไม่สามารถแก้ไขเหตุนั้นได้ บริษัทก็จะพิจารณาในประเด็นดังกล่าวต่อไป
          นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัท ยังอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้สกุลเงินบาทในวงเงินไม่เกิน 7 พันล้านบาทอายุไม่เกิน 10 ปี โดยอาจออกในครั้งเดียวหรือหลายครั้ง เพื่อใช้ในการชำระคืนหนี้ปัจจุบันและเพิ่มช่องทางในการหาแหล่งเงินทุน