ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) ที่ระดับ "A" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 950 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 7 ปีของทรัสต์ฯ ที่ระดับ "A" ด้วยเช่นกัน โดยทรัสต์ฯ จะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปใช้รีไฟแนนซ์เงินกู้บางส่วน
อันดับเครดิต สะท้อนถึงการที่ทรัสต์ฯ มีกระแสรายรับที่สม่ำเสมอจากรายได้ค่าเช่าและบริการตามสัญญา ตลอดจนผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง และภาระหนี้สินทางการเงินที่อยู่ในระดับปานกลาง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนลงบางส่วนจากการกระจุกตัวของรายได้ที่มาจากผู้เช่ารายใหญ่ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่ยังคงยืดเยื้อซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างแรงกดดันต่อความต้องการเช่าพื้นที่และการต่ออายุสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้า
ทรัสต์ฯ ยังคงมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจโดยอัตราการให้เช่าโดยเฉลี่ย (รวมการรับประกัน) อยู่ที่ระดับประมาณ 90% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 รายได้จากการดำเนินงานของทรัสต์ฯ อยู่ที่ระดับ 1.93 พันล้านบาท และอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ระดับ 88% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ทริสเรทติ้งคาดว่าทรัสต์ฯ จะสามารถรักษาอัตราการให้เช่าโดยเฉลี่ยพร้อมทั้งรักษาอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายให้อยู่ที่ระดับประมาณ 90% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจากปัจจัยสนับสนุนคือการมีสินทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในย่านยุทธศาสตร์ที่ดีรวมถึงการมีสินทรัพย์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทริสเรทติ้ง คาดว่าทรัสต์ฯ จะคงภาระหนี้สินทางการเงินให้อยู่ในระดับปานกลางในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ (LTV) (รวมหนี้สินสัญญาเช่า) ไม่เกิน 35% ตามนโยบายทางการเงินของทรัสต์ฯ ทรัสต์ฯ ได้ลงทุนซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติมมูลค่า 5.78 ล้านบาท ณ ต้นเดือนธันวาคม 2564 ด้วยการก่อหนี้ 36% ส่งผลให้คาดว่า LTV ณ สิ้นปี 2564 จะอยู่ที่ระดับ 27% ตามเงื่อนไขทางการเงินที่ระบุให้ทรัสต์ฯ ต้องรักษาอัตราส่วน LTV ให้ต่ำกว่า 35% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายให้ต่ำกว่า 5.5 เท่า ซึ่ง ณ เดือนกันยายน 2564 ทรัสต์ฯ มีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 26% และ 4.9 เท่าตามลำดับ
ณ เดือนกันยายน 2564 ทรัสต์ฯ มีภาระหนี้คงค้างทั้งสิ้นจำนวน 1.02 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นกู้จำนวน 1 หมื่นล้านบาท เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารจำนวน 160 ล้านบาท เนื่องจากสัดส่วนของหนี้ที่มีหลักประกันต่อของมูลค่าตลาดของสินทรัพย์อยู่ที่ระดับ 0.38% ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่ระดับ 35% ทริสเรทติ้งจึงมองว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันไม่น่าจะมีความเสียเปรียบอย่างมีนัยสำคัญเมื่อพิจารณาจากลำดับสิทธิเรียกร้องเหนือสินทรัพย์
ทรัสต์ฯ มีภาระหนี้ที่จะต้องชำระจำนวน 1.95 พันล้านบาทในปี 2565 ตามด้วยจำนวน 1.66 พันล้านบาทในปี 2566 และจำนวน 2.35 พันล้านบาทในปี 2567 และจำนวน 4.2 พันล้านบาทในปีต่อ ๆ มา ทรัสต์ฯ ตั้งใจจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปชำระคืนหุ้นกู้จำนวน 950 ล้านบาทที่จะครบกำหนดในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 และมีแผนจะออกหุ้นกู้ใหม่และ/หรือกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อรีไฟแนนซ์หนี้ที่เหลือ ซึ่งทริสเรทติ้งเชื่อว่าทรัสต์ฯ จะสามารถรีไฟแนนซ์หนี้ดังกล่าวได้จากการที่ทรัสต์ฯ มีความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงิน
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าทรัสต์ฯ จะยังคงสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอด้วยระดับอัตราการให้เช่าที่สูงกว่า 90% พร้อมทั้งมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีในช่วง 2 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ยังคาดว่าอัตราส่วน LTV จะอยู่ในระดับต่ำกว่า 35% ตามนโยบายของทรัสต์ฯ รวมทั้งจะสามารถปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขทางการเงินได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของทรัสต์ฯ อาจได้รับการปรับลดลงหากอัตราการให้เช่าลดลงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญและ/หรืออัตราส่วน LTV สูงเกินกว่า 35% เป็นระยะเวลานาน ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นได้หากทรัสต์ฯ สามารถเพิ่มขนาดกระแสเงินสดได้อย่างมีนัยสำคัญ และโครงสร้างเงินทุนของทรัสต์ฯ แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้อย่างชัดเจนซึ่งจะนำไปสู่การมีกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน