นายสันติ ธนะนิรันดร์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.บัวหลวง หรือกองทุนบัวหลวง กล่าวว่า ในปี 65 นักลงทุนต้องติดตามปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการลงทุน ได้แก่ สถานการณ์เงินเฟ้อ ที่คาดว่าจะค่อยๆ ชะลอตัวลงจากปัญหาเรื่องห่วงโซ่การผลิตที่ค่อยๆ คลี่คลาย ในช่วงครึ่งหลังของปี 65 นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ปัจจุบันลดการเข้าซื้อสินทรัพย์เดือนละ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้การเข้าซื้อสินทรัพย์สิ้นสุดในเดือนมี.ค. 65 เพื่อเปิดทางให้กับการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่ง FED Dot Plot (การคาดการณ์ดอกเบี้ยของคณะกรรมการเฟด) คาดว่า จะมีขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง ภายในปี 65 และอีก 3 ครั้ง ในปี 66 หากเป็นไปตามนี้กองทุนบัวหลวงมองว่าตลาดจะคลายกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และถ้าไม่มีปัจจัยอื่นมาเพิ่มความกังวล ตลาดหุ้นจะยังให้ผลตอบแทนที่ดี
ปัจจัยต่อมา คือ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่ได้หายไปจากโลกนี้ ซึ่งยังต้องติดตามไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ และมาตรการที่แต่ละประเทศนำมาใช้ในการควบคุมไวรัส และสุดท้ายการเลือกตั้งในหลายประเทศทั่วโลก เช่น อิตาลีและฝรั่งเศสที่จะเลือกตั้งประธานาธิบดี จีนจะเลือกตั้งตำแหน่งสำคัญอย่าง ประธานคณะมนตรีรัฐวิสาหกิจสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ปัจจุบัน นายหลี่ เค่อเฉียง ดำรงตำแหน่งอยู่ ส่วนสหรัฐฯ จะเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในเดือนพ.ย. 65 ซึ่งการเลือกตั้งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายหลักๆสำคัญในประเทศเหล่านี้ได้
ทีม Investment Strategy กองทุนบัวหลวงได้จัดทำ B-Select คำแนะนำการลงทุนประจำไตรมาส โดยคัดเลือกกองทุนที่เหมาะสำหรับการเพิ่มน้ำหนักลงทุน ประจำไตรมาส 1/65 ทั้งหมด 4 กองทุน ซึ่งรับมือปัจจัยที่กล่าวมาได้ ได้แก่ กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์ (BCARE) กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นญี่ปุ่น (B-NIPPON) กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ) และกองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยี (B-INNOTECH)
สำหรับ BCARE กองทุนบัวหลวงมองว่า ธีมสุขภาพจะเป็นธีมสำคัญและมีบทบาทมากขึ้นหลังเกิดไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ และในช่วงเงินเฟ้อสูงที่เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ กลุ่มสุขภาพยังเป็นกลุ่มที่ปกป้องพอร์ตลงทุนจากเงินเฟ้อและให้ผลตอบแทนที่ดีได้ ขณะที่มูลค่าหุ้นกลุ่มนี้ยังไม่แพง โดยยังมีมูลค่าถูกกว่าหลายๆอุตสาหกรรมในดัชนี S&P 500 พอสมควร
ส่วน B-NIPPON นั้นคาดว่าปี 65 จะเป็นปีแห่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งนโยบายการเงินของญี่ปุ่นยังผ่อนคลายและเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น ทั้งด้านกำไรที่ยังมีแนวโน้มปรับขึ้นและมูลค่าหุ้นที่ยังไม่สูงมากนัก
ด้าน B-CHINE-EQ กองทุนบัวหลวงมองว่าอาจจะมีจุดเปลี่ยนด้านนโยบายของจีน ทั้งนโยบายการเงินและการคลัง รวมถึงกฎระเบียบต่างๆ ที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่าเดิม หลังจากการใช้นโยบายที่เข้มงวดด้านการเงินการคลังและมีการใช้กฏหมายที่จัดระเบียบในหลายๆอุตสาหกรรม เช่น เรื่องการผูกขาดตลาดสำหรับบริษัทเทคโนโลยี ในปี 64 จนส่งผลให้เศรษฐกิจจีนอาจชะลอตัวลง ดังนั้น หากนโยบายต่างๆเริ่มผ่อนคลายมากกว่าเดิม ปี 65 น่าจะเป็นปีที่หุ้นจีนกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีได้อีกครั้ง
สุดท้ายคือ B-INNOTECH ซึ่งกองทุนบัวหลวงเชื่อมั่นว่า กลุ่มเทคโนโลยีจะยังเป็นหนึ่งใน Top-performing sector ที่ให้ผลตอบแทนได้ดีใน 10 ปีข้างหน้า โดยในปี 65 เงินเฟ้อที่สูงน่าจะมีผลกระทบต่อกำไรของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ค่อนข้างจำกัด เพราะบริษัทเหล่านี้มีความสามารถปรับตัวและขึ้นราคาได้ ทั้งยังมีการลงทุนต่อเนื่อง ทำให้เกิดการเติบโตใหม่ๆ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี AR, VR, Metaverse ดังนั้น B-INNOTECH ซึ่งลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ จะยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้
"การลงทุน มีโอกาสเผชิญสถานการณ์แวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอ แต่ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร หากนักลงทุนมีเป้าหมายที่แน่ชัด แล้วยืนหยัดลงทุนต่อไป โดยปรับสัดส่วนการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ก็มีโอกาสพบความสำเร็จได้ที่ปลายทาง ซึ่งกองทุนบัวหลวงพร้อมยืดหยัดเคียงข้างผู้ลงทุน เป็นมิตรแท้ตลอดเส้นทางลงทุน และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดทำ B-Select คัดสรรกองทุนแนะนำทุกไตรมาสนี้ จะช่วยผู้ลงทุนที่กำลังต้องการจัดสรรเงินลงทุน ปรับเปลี่ยนน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ได้" นายสันติ กล่าว