นายเจริญ ชัยเพชรรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บมจ.กู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) หรือ GYT คาดว่ารายได้ของบริษัทในปีนี้จะทรงตัวจากปี 49 ตามสถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศที่ทำให้ผู้ใช้รถชะลอการเปลี่ยนยางรถยนต์ โดยตลาดรวมในปีนี้คาดว่าจะมียอดขายยาง 14 ล้านเส้น ซึ่งในจำนวนดังกล่าวเป็นการขายให้กับรถยนต์ใหม่ 5 ล้านเส้น
"รายได้ของเราน่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจ รวมทั้งภาพรวมตลาดที่คาดว่าจะไม่เติบโต เนื่องจากครึ่งปีแรกการใช้ยางรถยนต์ชะลอและปรับตัวลดลง แต่ในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่า การใช้ยางจะปรับตัวดีขึ้น" นายเจริญ กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 4 บริษัทมีการออกยางสำหรับ รถเอสยูวีและรถกระบะ"กู๊ดเยียร์ แรงเลอร์ HP AW" ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่ยังไม่มีคู่แข่งจับกลุ่มลูกค้าเฉพาะ SUV และรถกระบะ และเน้นการขับเคลื่อนในความเร็วสูงบนถนนที่เปียกลื่น โดยไม่สูญเสียการขับขี่ คาดว่าจะเปิดตัวขายในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคในต้นปีหน้า จะใช้เงินในการทำตลาด 20-30 ล้านบาท ใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์ตัวแรกของปีนี้ Goodyear Durasport
นายเจริญ กล่าวว่า ในปี 51 เชื่อว่าการแข่งขันในธุรกิจยางรถยนต์ยังมีสูง เนื่องจากประเทศไทยมีผู้ผลิตรายหลักอยู่ 3 ราย คือ กู๊ดเยียร์ มิชลิน และบริดสโตน ซึ่งกู๊ดเยียร์จะพยายามรักษาสัดส่วนมาร์เก็ตแชร์ 1 ใน 3 โดยบริษัทไม่เน้นการแข่งขันด้านราคา แต่จะเน้นด้านประสิทธิภาพของยางรถยนต์ รวมถึงความแตกต่างของลูกค้าแต่ละกลุ่ม
นอกจากนี้ ในปี 51 จะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 2-3 ตัว ใช้งบการตลาด 20-30 ล้านบาทต่อผลิตภัณฑ์ อีกทั้งเตรียมขยายจำนวนดีลเลอร์ให้เพิ่มมากขึ้น
ส่วนกรณีที่ค่ายรถยนต์จะเข้ามาลงทุนผลิตรถยนต์ประเภทอีโคคาร์ในประเทศไทยนั้น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อทำตลาดในส่วนนี้ เชื่อว่าถ้ามีการผลิตเกิดขึ้นก็น่าจะส่งผลประโยชน์ต่อผู้ผลิตยางในไทย
สำหรับเรื่องสภาพคล่องของหุ้นนั้น นายเจริญ กล่าวว่า คงต้องเป็นเรื่องของผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่บริษัทมีหน้าที่ในการพยายามสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นรวมเท่านั้น
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--