นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน รวม 25 สำนักเกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในปี 65 สรุปได้ดังนี้ คาดการณ์ SET Index ในช่วงไตรมาสแรกของปี 65 จะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสิ้นปี 64 มากนัก โดยจะปิดสิ้นไตรมาสแรกที่ 1,665 จุด และเมื่อมองตลอดปีจะแกว่งตัวในกรอบ 1,546 ถึง 1,782 จุด และคาดการณ์ว่าสิ้นปีจะปิดที่ 1,760 จุด ทั้งนี้ นักวิเคราะห์เพิ่มสมมติฐานหลักด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 65 จะเติบโต 3.71% ปรับจากการสำรวจเมื่อ 3 เดือนก่อนอยู่ที่ 3.67% และเพิ่มสมมุติฐานด้านราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นเป็น 69.90 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก สูงขึ้นจากการประเมินครั้งก่อน 68.54 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
สำหรับทิศทางการลงทุนในปี 65 เชื่อว่าจะได้ผลบวกที่ชัดเจนมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะดีขึ้น โดยมีผู้โหวตถึง 92% และภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย มีผู้โหวต 84% ตามมาด้วย แนวโน้มความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนและโควิดในไทย มีผู้โหวต 80%
ส่วนปัจจัยด้านลบ มาจาก แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีผู้โหวตมากถึง 84% รองลงมาคือ การเตรียมลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ทั่วโลก มีผู้โหวต 72% และ ตามติดมาด้วยแนวโน้มสถานการณ์โควิดของโลกที่สูงขึ้นอีกครั้ง มีผู้โหวต 68%
ทางด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ความเห็นส่วนใหญ่ 79% มองว่าน่าจะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดทั้งปีนี้
ขณะที่ผลกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนปี 65 เฉลี่ยที่ 89.59 บาท/หุ้น เติบโต 11.82% จากปี 64 อย่างไรก็ตามตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้ต่ำกว่าการสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 92.49 บาท/หุ้น
นักวิเคราะห์ ส่วนใหญ่ยังแนะนำการลงทุนในปี 65 ให้กระจายพอร์ต แบ่งเป็น เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 10.22%, กองทุนตราสารหนี้ 16.96%, หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 29.87%, หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 28.96%ฅ กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 8.09%, ทองคำหรือกองทุนทองคำ 5.35% และอื่นๆ 0.57%
ส่วนกรลงทุนหุ้นไทย แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักในหมวดธุรกิจค้าปลีก ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และสื่อสาร ขณะที่ให้ลดน้ำหนักลงทุนใน หมวดธุรกิจการเกษตร ปิโตรเคมี การแพทย์ และการท่องเที่ยว
หุ้นเด่นที่แนะนำ คือ ADVANC CPALL EA KBANK และ SCB ส่วนหุ้นที่แนะนำให้หลีกเลี่ยง คือ ธุรกิจโรงแรมและสายการบิน รวมถึงหุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งบางบริษัทที่เคยวิ่งขึ้นกว่า 1,000% ในข่วงปี 63-64 เนื่องจากปัจจุบันแม้ราคาลงมาบ้าง แต่ยังคงเกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐาน
ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไปยังรัฐบาล ได้แก่ การเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ วางแผนโครงสร้างเทคโนโลยีการผลิตระยะยาว รวมถึงโครงข่ายสื่อสารและขนส่ง นอกจากนั้นยังแนะนำให้ช่วยเหลือประชาชน โดยเร่งฉีดวัคซีนเข็ม 3 รวมถึงมาตรการให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเพื่อกระตุ้นภาคการบริโภค ส่วนด้านภาคธุรกิจนั้นควรใช้นโยบายสนับสนุนสินเชื่อภาคธุรกิจเพิ่มเติม