นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า ในปี 65 บริษัทเตรียมแผนงานรุกหนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในครั้งใหม่เพื่อรับตลาดรวมฟื้นตัวและลูกค้าต่างชาติจะทยอยกลับมา ขณะที่โครงการในสต็อกลดน้อยลง บริษัทจึงมีแผนเปิดโครงการใหม่ถึง 46 โครงการ มูลค่ารวม 5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ 28 โครงการ และคอนโดมิเนียม 18 โครงการ
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายและยอดโอนในปี 65 ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท จากปี 64 บริษัททำยอดขายได้ราว 3.35 หมื่นล้านบาท และยอดโอนราว 3.25 หมื่นล้านบาท ปัจจุบัน บริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) กว่า 2.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนที่จะรับรู้เข้ามาในปีนี้กว่า 1 หมื่นล้านบาท
สำหรับโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้จะมีสัดส่วนโครงการในระดับราคาที่จับต้องได้ (Affordable Segment) มากถึง 50% เพื่อให้เป็นแบรนด์ที่เข้าถึงง่าย ประกอบด้วย คอนโดมิเนียมราคาเข้าถึงได้แบรนด์ คอนโด มี, เดอะ มูฟ, ดีคอนโด, เดอะ ไลน์ พร้อมไฮไลท์ด้วยการรุกคอนโดมิเนียมแบรนด์ เดอะ เบส ที่จะเปิดตัว 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 4.5 พันล้านบาทในปีนี้
ด้านแนวราบ ก็จะเปิดโครงการใหม่เป็นจำนวนมาก เนื่องจากปัจจุบันความต้องการซื้อยังมีอยู่มาก และมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง โดยที่วางแผนเปิดตัวทาวน์โฮมราคาเข้าถึงง่าย แบรนด์ สิริ เพลส จำนวน 8 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 6.1 พันล้านบาท รวมทั้งบ้านและทาวน์โฮม แบรนด์ อณาสิริ ที่ลูกค้าให้การตอบรับค่อนข้างสูงในปีที่ผ่านมา เพื่อตอบรับความต้องการหลากหลาย พร้อมรุกแบรนด์ สราญสิริ พร้อมเผยโฉมใหม่บ้านเดี่ยวแบรนด์ สราญสิริ ดีไซน์ใหม่ ครองความเป็นผู้นำบ้านเดี่ยวระดับบนด้วยการเปิดตัวแบรนด์ "บุราสิริ และเศรษฐสิริ" ต่อเนื่อง
รวมทั้งต่อยอดความสำเร็จของ Exclusive Modern Residence แบรนด์ "บูก้าน" และไฮไลท์สำคัญของโครงการแนวราบ ด้วยการกลับมาของบ้านเดี่ยว Luxury แบรนด์ "นาราสิริ" 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 8.3 พันล้านบาท โดยมองถึงความแข็งแกร่งระยะยาว 3 ปี เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยแผนเปิดตัวโครงการใหม่มูลค่ารวม 1.5 แสนล้านบาท พร้อมเป้าหมายยอดขายรวม 1.2 แสนล้านบาท
นายเศรษฐา กล่าวว่า บริษัทประเมินภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 65 มีโอกาสกลับมาฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง จากภาพรวมของเศรษฐกิจในประเทศกลับมาดีขึ้นจากความคาดหวังกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะเดินหน้าได้ปกติ ไม่มีการล็อกดาวน์ ทำให้คนกลับมาใช้ชีวิตทำงานได้ตามปกติ มีรายได้เข้ามา รวมถึงการกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งจะทำให้ลูกค้าต่างชาติกลับมาอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จึงทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสในการกลับมารุกเปิดโครงการใหม่มากขึ้นอีกครั้ง
นอกจากนั้น พันธกิจในปี 65 ของบริษัทยังจะสนับสนุนให้โครงการ แสนสิริ ต้องใช้พลังงานสะอาด ด้วยการติดตั้ง Solar Roof ในส่วนกลางของโครงการใหม่ 100% รวมทั้ง ติดตั้ง Solar Roof ในบ้านทุกหลังของโครงการใหม่ในระดับบน 100% พร้อมไฟในสวนต้องเป็นไฟพลังงานแสงอาทิตย์ 100% ทุกโครงการในปีนี้ เช่นเดียวกับไฟถนนจะเป็นไฟพลังงานแสงอาทิตย์ที่จะเริ่มในปีนี้ และผลักดันให้เพิ่มขึ้นเป็น 100% ในอนาคต
อีกทั้งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยส่วนกลางของทุกโครงการใหม่ของแสนสิริต้องมี EV Charger 100% เริ่มต้นในปีนี้ รวมทั้งบ้านทุกหลังในโครงการระดับบนโครงการใหม่ของแสนสิริจะต้องมี EV Charger 100% พร้อมการจัดการเรื่อง Waste Management ทั้งจากการก่อสร้างและในโครงการ นอกจากนี้บ้านโครงการใหม่ของแสนสิริกว่า 70% จะต้องเป็น COOLIVING DESIGNED HOME เพื่อช่วยลดอุณหภูมิให้บ้านเย็น และประหยัดพลังงาน
นายเศรษฐา กล่าวว่า บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินในปีนี้ราว 8 พันล้านบาท เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการบางส่วนในปีนี้และปีต่อ ๆ ไป โดยที่ปัจจุบันสต็อกของบริษัทถือว่าลดลงไปค่อนข้างมากแล้ว หลังจากในช่วงปี 63-64 บริษัทเน้นการทำโปรโมชั่นและลดราคาโครงการในสต็อกส่งผลให้สต็อกเหลืออยู่ไม่มาก แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม มูลค่ารวมเหลืออยู่ไม่ถึง 1 หมื่นล้านบาท และแนวราบที่มีไม่ถึง 2 พันล้านบาท
ขณะที่บริษัทยังมีกระแสเงินสดในมือกว่า 1.5 หมื่นล้านบาทสามารถรองรับการดำเนินธุรกิจได้อย่างดี ส่งผลให้ในปี 65 จะไม่เห็นการทำโปรโมชั่นและลดราคาโครงการเหมือนกับในช่วงปี 63-64 ทีผ่านมาแล้ว แต่จะยังมีการทำโปรโมชั่นในลักษณะส่งเสริมการขายปกติในแต่ละช่วง เพื่อกระตุ้นการซื้อของลูกค้า และเดินหน้ารุกเปิดโครงการใหม่เพื่อเพิ่มสินค้าในการขายให้กับลูกค้าเข้ามาเสริม ทำให้มีสินค้าที่สามารถขายให้กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง
"ปีนี้สงครามราคาคงหมดลงแล้ว คงไม่มีการลดราคาเหมือนในช่วงปี 63-64 ที่ผ่านมา ตอนนี้แสนสิริถือว่ามีสต็อกลดลงไปมาก และมีกระแสเงินสดที่เพียงพอรองรับการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งยังมีช่องทางแหล่งเงินทุนในการรองรับ เช่น การออกหุ้นกู้ ที่เราเน้นให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงการลงทุนผ่านหุ้นกู้ได้มากขึ้น ทำให้เราพร้อมกลับมาเดินหน้าเปิดโครงการ สร้างสิน้าใหม่ๆมารองรับความต้องการลูกค้า โดยเฉพาะโครงการแนวราบที่ยังมีความต้องการอยู่มาก ส่วนคอนโดตลาดยังไม่ฟื้นกลับมาดี ก็คงยังเปิดน้อยหน่อยในปีนี้" นายเศรษฐา กล่าว
ส่วนการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่เกิดขึ้นในประเทศ และมีจำนวนผู้ติดเชื้อกลับมาสุงขึ้นอีกครั้ง มองว่ากระทบต่อการซื้อที่อยู่อาศัยในระยะสั้น และเป็นปัจจัยที่บริษัทได้เตรียมความพร้อมรองรับไว้แล้ว จากประสบการณ์ที่เผชิญกับการแพร่ระบาดโควิด-19 มาถึง 4 รอบในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโรงแรมของบริษัทภายใต้แบรนด์ The Standard คงจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากในช่วงต้นปีนี้จากที่เริ่มเห็นการยกเลิกการจองห้องพักเดือน ม.ค.65 และตลอดทั้งเดือนก.พ. 65 ทำให้ธุรกิจโรงแรมในปีนี้ยังเป็นอีกหนึ่งปีที่ได้รับผลกระทบเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
นายเศรษฐา ยังกล่าวถึงธุรกิจสินทมรัพย์ดิจิทัลที่บริษัทได้ลงทุนผ่าน บมจ.เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล (XPG) ว่า แผนงานต่างๆทางผู้บริหารของ XPG จะประกาศให้ทราบอีกครั้ง ซึ่งบริษัทยืนยันว่ายังมองเห็นอนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะเข้ามามามีบทบาทมากขึ้นในอนาคต แต่อาจจะยังต้องใช้ระยะเวลาอีกหลายปี เนื่องจากปัจจุบันสินทรัพย์ดิจิทัลยังเน้นไปที่การลงทุนและการเก็งกำไรเป็นหลัก ยังไม่ได้มีการใช้งานในวงกว้าง ดังนั้น มองว่าต้องใช้ระยะเวลาอีกระยะกว่าที่คนส่วนใหญ่จะเข้าใจและยอมรับ ประกอบกับจะต้องมีกฎระเบียบของหน่วยงานกำกับต่างๆที่เข้ามาดูแลให้สินทรัพย์ดิจิทม่สามารถใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน
ที่ผ่านมา SIRI เปิดรับชำระค่าอสังหาริมทรัพย์ด้วย Cryptocurrency 4 สกุลหลัก แต่ยังมีลูกค้าเข้ามาทำธุรกรรมดังกล่าวไม่มากนัก ทำให้บริษัทยังมองว่ายังคงต้องใช้เวลาในการทำให้เกิดการใช้งานจริง ส่วนการที่ภาครัฐจะมีการเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นบริษัทไม่เห็นด้วย เพราะทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศลดลง และทำให้นักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงสูงได้พลาดโอกาสในการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนสูงเช่นกัน ประกอบกับกระทบต่อธุรกิจที่ดำเนินงานด้าน Exchange ในประเทศไทยที่อาจมีวอลุ่มการซื้อขายลดลงไป และกระทบธุรกิจอื่นๆที่เข้ามาเป็นห้วงโซ่ในสินทรัพย์ดิจิทัล