หุ้น NER บวก 4.11% หรือ เพิ่มขึ้น 0.30 บาท มาที่ 7.60 บาท มูลค่าซื้อขาย 126.14 ล้านบาทเมื่อเวลา 10.23 น.จากราคาเปิด 7.45 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 7.60 บาท ราคาต่ำสุด 7.40 บาท
บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER)คาดกำไรไตรมาส 4/65 จะทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งที่ 544 ล้านบาท +29.0% YoY รับแรงผลักดันจากอัตรากำไร (มาร์จิ้น) ที่คาดทำระดับสูงสุดของปี ส่วนทิศทางปี 65 จะเป็นปีแรกที่ NER เปิดประตูบานใหม่สู่ธุรกิจปลายน้ำที่จะให้มาร์จิ้นสูงขึ้นเท่าตัว และช่วยผ่อนคลายเงินทุนหมุนเวียนให้บริษัทอีกด้วย
โดยให้เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 10.70 บาท
ทั้งนี้ นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NER เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวมในปี 65 ไปที่ 28,000 ล้านบาท จากปี 64 ที่คาดว่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย 24,500 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าความต้องการใช้ยางพาราในอุตสาหกรรมยังดีต่อเนื่องจากปัจจัยหนุนหลายด้าน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตถุงมือยาง นอกจากนี้หากสถานการณ์โควิดคลี่คลายก็จะทำให้การเดินทางมากขึ้นก็ยังส่งผลดีต่อความต้องการใช้ยางรถยนต์เพิ่มมากขึ้นด้วย
ในด้านปริมาณการขายยางในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ราว 500,000 ตัน จากกำลังการผลิตทั้งหมด 510,000 ตัน โดยสัดส่วนของยอดขายในปี 65 บริษัทยังวางนโยบายการจำหน่ายสินค้าในประเทศและต่างประเทศเป็น 65:35 เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และค่าระวางเรือที่ปรับเปลี่ยนมาเป็นทิศทางที่สูงขึ้น
นายชูวิทย์ กล่าวว่า ในชวงไตรมาส 1/65 สถานการณ์ยางกำลังมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยมีปัจจัยบวกสนับสนุนจากยางพารากำลังเข้าสู่ฤดูการปิดกรีด จึงเกิดปัญหาการขาดแคลนจากอุปทานที่ลดต่ำลงตามฤดูกาล ในขณะที่ความต้องการนำเข้ายางของจีนเพิ่มมากขึ้น และบริษัทผู้ผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ เริ่มเก็บสต็อกยางธรรมชาติ ดังนั้น คาดว่าการบริโภครายเดือนจะสูงถึง 500,000 ตัน นอกจากนี้ ความต้องการยางในประเทศอื่น ๆ ก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย
ทั้งนี้ สมาคมรถยนต์โดยสารแห่งประเทศจีน (CPCA) รายงานว่ายอดจำหน่ายรถยนต์โดยสารพลังงานใหม่ในจีนรวม 2.99 ล้านคันในปี 64 เพิ่มขึ้น 169.1% เมื่อเทียบกับปี 63 และมียานยนต์ที่จดทะเบียนในปี 64 รวม 36.74 ล้านคัน ทำให้จำนวนยานยนต์ที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 395 ล้านคัน ซึ่งเป็นรถยนต์ 302 ล้านคัน ขณะที่มีรายงานยอดการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นถึง 5.4% หรือประมาณ 25.7 ล้านคันในปี 65 จึงมีโอกาสหนุนให้ราคายางปรับตัวขึ้นแตะระดับ 70 บาท/กิโลกรัมได้ และทั้งปีคาดว่าราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 65-67 บาท/กิโลกรัม
ด้านแผนงานธุรกิจปลายน้ำ ผลิตภัณฑ์แผ่นปูนอนรองวัว ภายใต้แบรนด์ cattleFlex ของ NER ยังเป็นไปตามแผนงาน คาดว่าจะติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จในไตรมาส 1/65 ประเมินปริมาณขายในปีนี้ 280,000 แผ่น คิดเป็นรายได้ประมาณ 500 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างทำการเจราจากับกลุ่มประเทศต่างๆ ให้เป็นตัวแทนการจำหน่ายสินค้า (Distributer) เฟสแรก 13 ประเทศ ผลิตภัณฑ์แบ่งเป็น 4 รุ่น ได้แก่ รุ่น Pro พรีเมียมระดับมาตรฐานยุโรป รุ่น Tuf ทนทานในราคาที่จับต้องได้ รุ่น Calf พิเศษสำหรับลูกวัว และรุ่น Move สำหรับทางเดินในฟาร์มปศุสัตว์
นอกจากนี้ บริษัทยังตั้งงบลงทุนไว้ที่ราว 240 ล้านบาท แบ่งเป็น 100 ล้านบาทใช้ลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์) นำมาทดแทนพลังงานอื่นเพื่อช่วยประหยัดต้นทุนพลังงาน และ 40 ล้านบาท ลงทุนด้านหุ่นยนต์ดึงยางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการผลิต เพื่อหนุนปริมาณยอดขายที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่เหลืออีก 100 ล้านบาทจะนำไปใช้ในการสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปลายน้ำหรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปตามนโยบายบริษัท เพื่อที่จะรุกสินค้าในกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้นสร้างมูลค่าและกำไรให้กับบริษัทมากยิ่งขึ้น