นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) เปิดเผยว่า ทิศทางการเติบโตของสินเชื่อในปี 65 มีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้ หลังจากปีที่ผ่านมาสินเชื่อมีการหดตัว โดยคาดว่าการเติบโตของสินเชื่อในปี 65 จะเติบโตได้ 4-5% โดยเฉพาะจากสินเชื่อในกลุ่มธุรกิจ "สมหวัง" ที่ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่ในปีนี้จะเน้นไปที่รถยนต์มือสอง และสินเชื่อรถแลกเงิน คาดว่าจะเติบโตได้ราว 3-4% และกลุ่มสินเชื่อลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ที่มองว่าในปีนี้จะเห็นความต้องการใช้สินเชื่อเพื่อรองรับการลงทุนต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจด้านพลังงานและอสังหาริมทรัพย์ จึงคาดว่าสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ในปีนี้มีโอกาสเติบโตเป็นเลข 2 หลัก (2 digits)
กลยุทธ์ด้านสินเชื่อของธนาคารในครึ่งปีแรกจะยังคงเป็นการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง เนื่องจากในช่วงต้นปีนี้ยังมีความเสี่ยงของการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่เข้ามากระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทยอยู่บ้าง และมีผลต่อความไม่แน่นอนที่มีโอกาสเกิดขึ้น ทำให้ธนาคารยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ และติดตามสถานการณ์ แต่ในครึ่งปีหลังเชื่อว่าสถานการร์แพร่ระบาดโควิด-19 จะเริ่มคลี่คลายลง ทำให้เศราฐกิจเริ่มกลับมาเดินเครื่องได้เต็มที่ ส่งผลให้ธนาคารจะกลับมารุกในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้
อย่างไรก็ตาม การที่ธนาคารหันมาเน้นกลุ่มสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูงในปีนี้ก็คงจะตามมาด้วยความเสี่ยงที่สูงเพิ่มขึ้น ทำให้คาดว่าแนวโน้มของสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 2.44% แต่คงไม่ได้เพิ่มไปถึงระดับสูงสุดของปี 64 ที่ 3.98% แต่ในส่วนของการตั้งสำรองฯในปีนี้คาดว่าจะลดลงจากปีก่อนหลังจากได้ตั้งไปมากถึงกว่า 3 พันล้านบาทในปี 64 เพียงพอรองรับหนี้ในพอร์ต จึงคาดว่าปีนี้การตั้งสำรองฯ จะลดลงมาที่ระดับ 2 พันล้านบาท
ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมในปี 65 คาดว่าจะมีปัจจัยหนุนมาจากการฟื้นตัวของธุรกิจนายหน้าขายประกันผ่านสาขาของธนาคาร ซึ่งในปีทีผ่านมาชะลอตัวตามภาวะของเศรษฐกิจซึ่งทำให้คนชะลอการซื้อประกันภัยต่างๆ แต่มองว่าในปีนี้จะเห็นการซื้อประกันกลับมาดีขึ้นตามภาวะของเศรษฐกิจ และยังมีธุรกิจกองทุนรวมที่ยังคงเป็นปัจจัยหนุนต่อเนื่อง แม้ว่าจะเติบโตไม่เท่ากับปีก่อนที่เติบโตได้มากก็ตาม แต่มองว่ากลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูงยังคงมีการลงทุนต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้ตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มที่ธนาคารเน้นให้คำปรึกษาในการลงทุน
ในปีนี้ธนาคารยังเน้นการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม ในด้านการบริการให้มีความสะดวกมากขึ้น รวมถึงการลงทุนที่ลูกค้าสามารถเลือกซื้อกองทุนรวมจากทุกบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ได้ทุกบริษัท เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้บริการให้กับลูกค้าเป็นหลัก โดยปัจจุบันธนาคารมีฐานลูกค้าที่ใช้บริการผ่านแอปพลิเคชั่นของธนาคารอยู่ที่ 2.5 ล้านราย