นายพุทธชาติ รังคสิริ กรรมการผู้จัดการ บมจ. ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น (TWZ)ชี้แจงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยสำหรับไตรมาสที่ 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2550 ที่ผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแล้ว มีผลขาดทุนสุทธิรวม 9.38 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3.15 ล้านบาท
เหตุบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขาย 853.52 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3 ปี 2550 ลดลงจาก 915.63 ล้านบาทของงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นจำนวนเงิน 62.11 ล้านบาท หรือลดลงในอัตราร้อยละ 6.78 เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว ทำให้ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น
ประกอบกับบริษัทย่อยได้บอกเลิกการเป็นผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวกับบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เนื่องจากบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงทางการค้า (ผิดสัญญาการแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือซัมซุงแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย) จึงทำให้รายได้จากการขายลดลง
โดยมีรายได้ค่าสนับสนุนการขาย 28.26 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3 ปี 2550 เพิ่มขึ้นจาก 19.38 ล้านบาทของงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นจำนวนเงิน 8.88 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 45.82 จากการที่บริษัทฯ ได้รับค่าสนับสนุนการจดทะเบียนซิมการ์ด
จากบริษัท แอ๊ดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และส่วนแบ่งรายได้จากการดูแลลูกค้าองค์กรของ AIS รวมถึงบริษัทฯ และบริษัทย่อย ยังได้รับค่าสนับสนุนการขายจากผู้จัดจำหน่ายในประเทศ จึงทำให้บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้ค่าสนับสนุนการขายเพิ่มขึ้น
มีกำไรขั้นต้น 37.37 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3 ปี 2550 ลดลงจาก 62.07 ล้านบาทของงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นจำนวนเงิน 24.70 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 39.79 โดยในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ และบริษัทย่อย อยู่ที่ร้อยละ 4.38 ในไตรมาสที่ 3 ปี 2550 ลดลงจากร้อยละ 6.78 ของงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาวะการแข่งขันที่มากขึ้นและภาวะเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในช่วงชะลอตัว ทำให้บริษัทฯและบริษัทย่อย มีการให้ส่วนลดทางการค้า เพื่อกระตุ้นยอดขายและรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 70.74 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3 ปี 2550 เพิ่มขึ้นจาก 41.19 ล้านบาทของงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นจำนวนเงิน 29.55 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 71.74 และมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้จากการขายเท่ากับร้อยละ 8.29 เปรียบเทียบกับร้อยละ 4.50 ของงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีจำนวนพนักงานเพิ่มขึ้น และมีค่าใช้จ่ายในการทำกิจกรรมทางการตลาดเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มยอดขายและขยายช่องทางการจัดจำหน่าย
ส่วนดอกเบี้ยจ่าย 21.86 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3 ปี 2550 เพิ่มขึ้นจาก 8.45 ล้านบาทของงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นจำนวนเงิน 13.41 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 158.70 เนื่องจากบริษัทฯและบริษัทย่อย มีภาระดอกเบี้ยจากการซื้อสินค้าเพื่อนำมาจัดจำหน่ายในรูปของ L/C และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในประเทศ และมีภาษีเงินได้นิติบุคคลบวกกลับ จำนวน 11.30 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3 ปี 2550 เนื่องจากบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีผลการดำเนินงานลดลง
--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--