นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) เปิดเผยว่า บริษัทวางกลยุทธ์ทางธุรกิจสำหรับปี 65 โดยยังคงมุ่งเน้นขยายธุรกิจเชิงรุกสู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต โดยในปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 18 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4.77 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ รวมถึงคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise จำนวน 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.88 หมื่นล้านบาท และแนวสูง 6 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.89 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่บริษัทพัฒนาเอง 10 โครงการ มูลค่ารวม 1.69 หมื่นล้านบาท และโครงการร่วมทุนกับ BTS และ Hongkong Land 8 โครงการ มูลค่ารวม 3.08 หมื่นล้านบาท
บริษัทวางเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบ รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise ในพอร์ตให้มากขึ้น เพื่อให้มีสินค้ากระจายและรองรับกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย ซึ่งการพัฒนาแนวราบจะช่วยให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้เร็วขึ้น เนื่องจากใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างไม่มาก คาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบในพอร์ตเกือบ 50% จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 32%
พร้อมกับการพัฒนาโครงการในทำเลที่กระจายตัวมากขึ้นเพื่อครอบคลุมทุกความต้องการในทุกมิติของผู้อยู่อาศัยในทุกทิศของกรุงเทพฯ เช่น ถนนเอกมัยรามอินทรา ทำเลโซนดอนเมือง ถนนศรีนครินทร์ ถนนกรุงเทพกรีฑา ถนนราษฎร์บูรณะ ถนนสุขสวัสดิ์ ถนนราชพฤกษ์ รวมถึงทำเลกลางใจกลางเมือง คือ ถนนเพลินจิต เป็นต้น
สำหรับยอดขายในปี 65 บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท และรายได้ 1.3 หมื่นล้านบาท โดยในปีนี้จะมีรายได้ที่มาจากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีราว 5.7 พันล้านบาท โดยคาดว่ามีโอกาสที่ลูกค้าชาวต่างชาติจะเข้ามาซื้อและโอนได้มากขึ้น จากการกลับมาเปิดประเทศ ทำให้มียอดขายและรายได้ที่มาจากลูกค้าต่างชาติเข้ามาเสริม นายธงชัย กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 65 มองว่าจะฟื้นตัวขึ้นจากปี 64 แม้จะเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน โดยเชื่อว่าจะไม่มีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนมากนัก เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาประชาชนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลเชิงบวกต่อ Sentiment ของคนในประเทศที่เริ่มผ่อนคลายความกังวลประกอบกับภาครัฐที่มีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ที่เป็นข้อจำกัดมากขึ้น ทั้งการต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าธรรมเนียมจำนองออกไปถึงสิ้นปี 65 การผ่อนปรนต่างชาติให้เข้ามาถือครองอสังหาริมทรัพย์ไทยได้นานขึ้น
รวมถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ไปถึงสิ้นปี 65 ซึ่งถือว่าเป็นอานิสงส์บวกต่อภาพรวมอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้
นายอรรถวิทย์ เฉลิมทรัพยากร กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน NOBLE กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในสหราชอาณาจักร กลยุทธ์ของบริษัทในปี 64 ที่ผ่านมาได้เริ่มซื้ออพาร์ทเมนท์ใจกลางเมืองกว่า 40 ห้องในใจกลางเมืองแมนเชสเตอร์ และเมืองลีดส์ มูลค่ารวม 6.7 ล้านปอนด์ โดย ณ สิ้นปี 64 บริษัทสามารถทำการขายได้มากกว่า 30% ของจำนวนห้องทั้งหมด โดยมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ที่ 35% บริษัทเชื่อว่าโมเดลธุรกิจนี้จะเป็นโมเดลธุรกิจที่ผสมผสานระหว่างรายได้ประจำที่แข็งแกร่ง ควบคู่กับอัตรากำไรที่ดีจากการขายสินทรัพย์ดังกล่าว
และในปี 65 บริษัทได้ตั้งเป้าการซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างเสร็จแล้วจำนวน 550 ห้อง จากเดิมที่มี 70 ห้อง ในแถบมิดแลนด์ และตอนเหนือของอังกฤษ ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 100 ล้านปอนด์ จากสถานการณ์สภาวะตลาดในปัจจุบันมีความน่าสนใจเนื่องจากราคาซื้อขายต่ำกว่าอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างใหม่กว่า 30% และด้วยระยะเวลาการลงทุนที่สั้นบริษัทฯคาดว่าอัตราผลตอบแทนของส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ประมาณ 20%-25% ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของบริษัท พร้อมกับวางงบซื้อที่ดินในปี 65 ไว้ที่ 3 พันล้านบาท เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในปีต่อไป
นายธงชัย กล่าวเสริมว่า บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการเพิ่มช่องทางในการชำระเงินให้กับลูกค้าด้วย Cryptocurrency เบื้องต้นคาดกระบวนการจะเสร็จสิ้นและสามารถเริ่มชำระได้ภายในไตรมาส 2/65 ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ และยังเป็นการสอดรับกับกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่คาดว่าจะกลับมาในช่วงครึ่งหลังของปี 65 และยังมีการศึกษาในการทำ Investment Token โดยมีสินทรัพย์ค้ำประกันออกมา แต่ยังอยู่ระหว่างการรอด้านกฎระเบียบของหน่วยงานกำกับและเรื่องของภาษีต่างๆให้มีความชัดเจนก่อน