(เพิ่มเติม) BANPU คาดปี 51 รายได้โต 10-12%, ราคาขายถ่านหินสูงมาที่ 47 เหรียญ/ตัน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 14, 2007 11:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ.บ้านปู(BANPU)คาดว่ารายได้ในปี 51 จะเติบโตขึ้นประมาณ 10-12% จากปีนี้ที่มีรายได้ราว 3 หมื่นล้านบาท โดยจะมีปริมาณขายถ่านหินที่ 20 ล้านตันเท่ากับปีนี้ แต่ราคาขายเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 47 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากในปีนี้อยู่ที่ 40 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายจะรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นที่ 37-38% ใกล้เคียงปีนี้ 
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ กรรมการผู้จัดการ BANPU กล่าวว่า การปรับเพิ่มขึ้นของยอดขายในปีหน้ามีปัจจัยหลักจากราคาขายถ่านหินที่สูงขึ้น และบริษัทพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้แม้ว่าจะมีต้นทุนด้านพลังงานเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแนวโน้มราคาน้ำมันจะยังคงปรับตัวสูงต่อเนื่อง โดยประเมินว่าต้นทุนของบริษัทในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10%
ปริมาณการขายถ่านหินในปีหน้าที่คาดไว้ 20 ล้านตันใกล้เคียงปีนี้ เนื่องจากยังไม่มีเหมืองใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่ม เพราะยังอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อเข้าลงทุนเพิ่มเติมในจีน และอินโดนีเซีย ขณะที่ปริมาณถ่านหินสำรองในไทยจะลดน้อยลงและหมดไปในปีหน้า
นายชนินท์ กล่าวว่า ในปีหน้าคาดว่ารายได้จากกิจการโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งที่ BANPU เข้าไปในประเทศจีนจะดีขึ้นจากปีนี้ เนื่องจากขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายงาน และมีแนวโน้มรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้าที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนโรงไฟฟ้า BLCP ในประเทศไทยนั้น ขณะนี้กำลังจะเข้าสู่ช่วงการปิดซ่อมบำรุงประจำปีในเดือนพ.ย.-ธ.ค.50 ซึ่งจะทำให้รายได้ในส่วนนี้เข้ามาน้อยลง และส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัทในช่วงไตรมาส 4/50 ที่คาดว่าจะลดลงจากไตรมาส 3/50
นายชนินท์ กล่าวว่า สำหรับโครงการลงทุนใหม่คือ โครงการหงสาลิกไนท์ในประเทศลาว คาดว่าจะมีข้อสรุปสัดส่วนการถือหุ้นภายในสิ้นปีนี้ ซึ่ง BANPU คาดว่าจะถือหุ้นราว 30% บวกลบ
ขณะที่ความคืบหน้าการกระจายหุ้นบริษัท พีที อินโด ทัมบันกรายา เมกาห์ (ITM) ที่เป็นบริษัทย่อย และเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์จาการ์ตานั้น คาดว่าจะสามารถสรุปราคาขาย IPO ได้ในปลายเดือนนี้ และเข้าทำการซื้อขายราวเดือนธ.ค. ซึ่งขณะนี้ตลาดหุ้นของอินโดนีเซียมีค่าพีอีที่ 20 เท่า สูงกว่าตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก
นายชนินท์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังไม่มีแนวคิดการแตกพาร์เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง แม้ว่าราคาหุ้น BANPU จะปรับขึ้นไปยืนเหนือ 400 บาท/หุ้นแล้วก็ตาม เพราะไม่มีเหตุผลจำเป็นที่ต้องดำเนินการดังกล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ