นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีแพนเนล (CPANEL) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/65 จะเติบโตขึ้นได้ดีตามสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในคอนโดมิเนียมระดับ Low Price ที่จะเห็นการเติบโตได้ดี ทำให้บริษัทสามารถปรับราคาขายผนังคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast) ขึ้นได้จากความต้องการ (ดีมานด์) ที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เบื้องต้นคาดว่าดีมานด์ปีนี้จะเติบโต 100% ผลักดันตลาด Precast ปีนี้ให้เติบโตได้ราว 30-40% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์มีสัญญาณที่ดี เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศเริ่มทยอยฟื้นตัว กำลังซื้อผู้บริโภคกลับมาในหลายพื้นที่ ประกอบกับภาครัฐได้ปลดล็อกมาตรการก LTV ส่งผลให้โครงการบ้านที่อยู่อาศับยังเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะบ้านระดับกลาง-บน ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลักของบริษัท ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จึงวางแผนการลงทุนโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะใช้ Precast Concrete มากขึ้น
"จากแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าการแข่งขันของผู้ประกอบการจะยิ่งสูงขึ้น โดยต้องการความรวดเร็วในการส่งมอบงานได้ทันเวลา ลดต้นทุนการก่อสร้าง ลดจำนวนแรงงาน อีกทั้งสามารถรักษาเงินทุนหมุนเวียน (Working Cap) ในการดำเนินงานได้ Precast Concrete สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ดี เนื่องจากเทคโนโลยีกระบวนการผลิตที่สั้น ตั้งแต่ออกแบบจนถึงส่งมอบบ้านหลังแรกได้ภายใน 15 วันและหลังถัดไปได้ประมาณ 7 วันนับจากวันที่ลูกค้ายืนยันแบบ CPANEL จึงได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทเชื่อว่าจะสร้างการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้" นายชาคริต กล่าว
ดังนั้น ในปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 25% ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องจากปีก่อน โดยยังมุ่งเน้นกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยี (Technology Driven) เพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขัน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนการดำเนินงาน สำหรับแผนการดำเนินงานปี 65 บริษัทจะดำเนินการพัฒนาเครื่องจักรที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งเรื่องการออกแบบ ความรวดเร็ว ปริมาณ และคุณภาพ Precast Concrete เพื่อรองรับความต้องการลูกค้าได้มากขึ้น รวมถึงลดความผิดพลาด ความสูญเสียในการผลิต นอกจากนี้ยังมีแผนนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในการประสานงานกับลูกค้า การบริหารจัดการภายใน ลดต้นทุน ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานต่างๆ ส่งผลให้บริษัทมีความสามารถการทำกำไรมากขึ้น
ส่วนแผนการขยายฐานลูกค้า บริษัทฯ ยังคงรักษากลุ่มลูกค้าเดิมและเดินหน้าทำตลาดแนะนำผลิตภัณฑ์กับลูกค้ารายใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นกลุ่มผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ที่มีแนวโน้มขยายโครงการทั้งแนวราบและแนวสูง
ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (Backlog) ประมาณ 1,190 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 74% แนวสูง 16% ทยอยรับรู้ภายใน 3 ปี นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างรอสัญญาจากลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบ 4 ราย และแนวสูง 2 ราย มูลค่ารวมประมาณ 200 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญาได้ในไตรมาส 1/65 และคาดจะรับรู้รายได้เข้ามาทันที