นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า ปัจจุบันภาพรวมของการลงทุนมีความผันผวนค่อนข้างมาก จากปัจจัยความไม่แน่นอนต่างๆที่ยังมีอยู่ โดยเฉพาะปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับทิศทางของอัตราเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารต่างๆทั่วโลกที่เริ่มกลับมาเข้มงวดในการดำเนินนโยบายการเงินมากขึ้น โดยการลดการอัดฉีดสภาพคล่องและปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลกระทบต่อความผันผวนในการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้นที่มีความผันผวนค่อนข้างมาก และหุ้นในกลุ่มเติบโต (Growth) มีแรงกดดันเข้ามากระทบมาก แต่ในกลุ่มหุ้นคุณค่า (Value) คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากปัจจัยดังกล่าว หลังจากในช่วงที่ผ่านมาเผชิญกับปัจจัยกดดันของโควิด-19 ทำให้ราคาหุ้น Value ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตามการทำนโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางต่างๆทั่วโลกเป็นการสะท้อนภาพของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่กลับมาหลังจากเผชิญกับวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้มองภาพรวมของการลงทุนในหุ้นยังคงมีความน่าสนใจ จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีทิศทางเติบโตขึ้น แม้ว่าระหว่างทางของการลงทุนจะมีความผันผวนอยู่บ้างก็ตาม แต่ยอมรับว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในปี 65 อาจจะไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่สูงเมื่อเทียบเท่ากับผลตอบแทนในช่วงปี 63-64 ที่ผ่านมา ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในระดับตัวเลขสองหลัก เนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปค่อนข้างมากแล้วจากระดับต่ำสุดในช่วงเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ในต้นปี 63 ทำให้ตลาดหุ้นกำลังเข้าสู่จุดอิ่มตัว และสภาพคล่องของโลกที่เริ่มลดลงและอัตราดอกเบี้ยกำลังจะเริ่มปรับขึ้น ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นนั้นจะต้องมีการเลือกการลงทุนที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
นายตรีพล ภูมิวสนะ Senior Managing Director - Private Banking Business Head ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า แม้ว่าตลาดหุ้นจะยังมีความน่าสนใจอยู่ แต่ทาง K Private Banking ได้ปรับลดสัดส่วนของการลงทุนในตลาดหุ้นลงชั่วคราวมาที่ 32-35% จากเดิมที่ 40% เพื่อกลับมาถือเงินสดเตรียมความพร้อมในการหาจังหวะเข้าไปการลงทุนที่เหมาะสมอีกครั้ง และเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดหุ้นที่ยังเผชิญความผันผวนค่อนข้างมาก แต่การลงทุนในตลาดหุ้นนั้นยังมองว่ามีการเติบโตขึ้นและให้ผลตอบแทนที่ดีได้ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวสูงขึ้น แต่เมื่อหักลบกับอัตราเงินเฟ้อแล้ว อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของตลาดรวมยังคงติดลบอยู่ ทำให้เงินที่อยู่ในตลาดทั้งหมดจะต้องหาแหล่งของการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่มากกว่า ซึ่งตลาดหุ้นยังคงเป็นทางเลือกในการลงทุนที่จะยังคงเห็นเงินไหลเข้ามาต่อเนื่อง ทั้งตลาดหุ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว และตลาดหุ้นในประเทศเกิดใหม่
โดยการลงทุนในตลาดหุ้นในปีนี้จะให้เน้นการคัดเลือกกลุ่มหุ้นที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ซึ่งจะเน้นหุ้นในกลุ่ม Value เป็นหลัก ซึ่งจะได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของเศรษฐกิจที่กลับมาค่อนข้างมาก และยังเป็นหุ้นที่ราคาไม่แพง ยังมีอัพไซด์ในการให้ผลตอบแทนที่ดีกลับมาได้ เมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่ม Grwoth ที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นมาในระดับสูงแล้ว ส่งผลให้หุ้นกลุ่ม Value กลับมาน่าสนใจในปีนี้ค่อนข้างมาก ส่วนธีมในการลงทุนหุ้นนั้นจะหันมาเลือกธีมการลงทุนที่สอดคล้องกับนโยบายของประเทศนั้น ภาพรวมการดำเนินนโยบายของโลก และกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเมือง โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
ด้านการลงทุนในตราสารหนี้ยังคงให้สัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล 28-30% และหุ้นกู้ภาคเอกชน 14-15% โดยที่ในส่วนของหุ้นกู้ภาคเอกชนที่น่าสนใจมองว่าเป็นหุ้นกู้ภาคเอกชนของจีน จากที่ในปีก่อนหุ้นกู้ภาคเอกชนของจีนทุกคนมองว่าเป็นผู้ร้ายในตลาด แต่มองว่าทางการจีนได้มีการจัดระเบียบแลพเข้ามาควบคุมไปแล้ว และผลกระทบที่เกิดขึ้นยังอยู่แค่ในวงจำกัดของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในจีน และยังไม่มีกลุ่มอื่นที่ส่งสัญญาณเกิดปัญหา ประกอบกับหุ้นกู้ภาคเอกชนของจีนยังให้ผลตอบแทนในระดับที่สูงมาก ทำให้มีความน่าสนใจที่กลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับพอร์ต
ส่วนการลงทุนในกอง REIT และสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์นั้นมองว่าในปี 65 จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวกลับมาที่ดี หลังจากมีแรงกดดันจากโควิด-19 มาเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งคาดว่าความต้องการในการใช้พื้นที่คลังสินค้า พื้นที่อาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก จะกลับมาเติบโตอีกครั้ง รวมถึงราคาที่ดีและที่อยู่อาศัยจะเริ่มเห็นการกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยที่ให้สัดส่วนการลงทุนในกอง REIT และสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ไว้ที่ 2-3% ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆยังให้คงสัดส่วนไว้ที่ 8-9%
นายจิรวัฒน์ กล่าวเสริมว่า การลงทุนใน Cryptocurrency และสินทรัพย์ดิจิทัล ทาง K Private Banking ยังไม่ได้มีการให้คำแนะนำกับลูกค้าในการเข้าไปลงทุน เนื่องจากการเคลื่อนไหวของราคา Cryptocurrency และสินทรัพย์ดิจิทัล ยังไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ และมีความผันผวนค่อนข้างมาก และยังมีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและการควบคุมต่างจากทางการ ทำให้ธนาคารยังไม่มีการให้คำแนะนำการลงทุนใน Cryptocurrency และสินทรัพย์ดิจิทัลกับลูกค้า แต่ก็ไม่สามารถที่จะห้ามลูกค้าที่ไปลงทุนเองได้ ซึ่งธนาคารได้เพียงแค่หากลูกค้ามีความต้องการลงทุนสามารถลงทุนได้ไม่เกิน 3-5% ของพอร์ต แต่อยากให้ลูกค้าระมัดระวังความผันผวนค่อนข้างมาก อย่างในวันนี้ราคา Cryptocurrency ปรับตัวลงอย่างมาก