นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายของ บมจ.พีซแอนด์ลีฟวิ่ง (PEACE) เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ของ PEACE คาดว่าจะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อในช่วงต้นเดือน ก.พ.65 และจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ในช่วงกลางเดือน ก.พ.
PEACE มีแผนเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 84 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 20% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด โดยมีทุนจดทะเบียน 420 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท โดยมีทุนเรียกชำระแล้ว 336 ล้านบาท คิดเป็นหุ้นสามัญจำนวน 336 ล้านหุ้น และการระดมทุนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์นำเงินไปใช้ไปใช้ซื้อที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัท
ด้านจุดเด่นของ PEACE แม้ว่าจะเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายเล็กในตลาด แต่ถือว่าเป็นผู้ประกอบการที่มีความเชี่ยวชาญและมีการบริหารจัดการที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการแนวราบมากเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ที่สามาถสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง มีการพัฒนาโครงการในทำเลที่มีศักยภาพ และตรงกับความต้องการของคนที่มองหาซื้อที่อยู่อาศัย รวมถึงมีการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และมีภาระหนี้สินที่น้อยมาก ทำให้การระดมเงินทุนจากการเสนอขาย IPO ในครั้งนี้ บริษัทสามารถนำเงินไปต่อยดในการลงทุนซื้อที่ดินมารองรับการพัฒนาโครงการในอนาคตได้อย่างเต็มที่
ขณะที่ในช่วงการแพร่ะบาดโควิด-19 บริษัทได้รับประโยชน์จากพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไป โดยหันมาเลือกซื้อโครงการแนวราบรอบเมืองมากขึ้น แทนคอนโดมิเนียมในเมือง เพราะต้องการพื้นที่ใช้สอยในการทำงานและการใช้ชีวิตรมากขึ้น รวมถึงมีความเป็นส่วนตัวที่มากกว่าการอยู่คอนโดมิเนียม ส่งผลให้ตลาดบ้านแนวราบเติบโตขึ้น และได้รับผลกระทบน้อยในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนต่อการเติบโตของบริษัท รวมกับความเชี่ยวชาญด้านการทำการตลาดที่สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ตรงกลุ่ม ทำให้บริษัทถือเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายเล็กที่มีศักยภาพเทียบกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายกลางและใหญ่ในตลาดได้
นายประสพศักดิ์ ศิริโสภณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PEACE เปิดเผยว่า การที่บริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์จะช่วยเสริมศักยภาพในการสร้างการเติบโตต่อไปในอนาคต โดยที่เงินที่ได้จากการเสนอขาย IPO จะนำไปใช้ในการซื้อที่ดินมาพัฒนาโครงการ โดยที่ในช่วง 1-2 ปีนี้ จะซื้อที่ดินในกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นหลัก เพราะยังคงเป็นทำเลที่คนมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นจะเริ่มมองการซื้อที่ดินในต่างจังหวัดเข้ามาเสริมเพื่อขยายตลาดในอนาคต โดยมีความสนใจเข้าไปพัฒนาในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ก่อนหน้านี้บริษัทได้มีการพัฒนาโครงการในจังหวัดระยองมาก่อนแล้ว
หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯแล้วบริษัทวางเป้าหมายการเติบโตทั้งรายได้และกำไรในช่วง 3 ปีเป็น 2 เท่าจากปี 64 และค่อยๆเติบโตเป็น 3 เท่าในช่วง 5 ปี โดยบริษัทมองว่าการขายที่อยู่อาศัยยังคงมีการค่อยๆเติบโตขึ้นต่อเนื่อง และฟื้นตัวกลับมาหลังจากผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 ไปแล้ว ตจามภาวะเศรษฐกิจที่ค่อยๆฟื้นตัวกลับมา ทำให้บริษัทยังคงมองเห็นโอกาสในการเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ออกมาทุกปี ซึ่งยังคงเป็นโครงการแนวราบเป็นหลัก เพราะปัจจุนสัดส่วนของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมได้เปลี่ยนมาเป็นโครงการแนวราบมากขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้นมาเป็นสัดส่วน 60% จากเดิมที่ 40% และโครงการคอนโดมิเนียมได้ลดสัดส่วนมาที่ 40% จากเดิมที่ 60% ซึ่งยังคงมองว่าสัดส่วนจะยังคงเป็นแบบนี้ไปอีกหลายปี
สำหรับแผนงานในปี 65 บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3 พันล้านบาท อยู่ใน 3 ทำเล คือ เจษฎาบดินทร์, กรุงเทพกรีฑา-ร่มเกล้า และบางกรวย-ไทรน้อย ภายใต้แบรนด์ cher เป็นหลัก ซึ่งเป็นไปตามแผนงานของบริษัท และเมื่อรวกับโครงการที่บริษัทอยู่ระหว่างการขายอีก 7 โครงการ มูลค่าเหลือขายกว่า 2 พันล้านบาท ทำให้บริษัทมีสินค้ารองรับการขายให้กับลูกค้ารรวมมูลค่ากว่า 5 พันล้านบาท ที่รองรับการเติบโตของบริษัทหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และยังมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่อีก 600 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้เข้ามา
ขณะที่ในด้านต้นทุนของบริษัทถือว่ามีความการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพมาต่อเนื่อง แม้ว่าในปัจจุบันราคาต้นทุนและค่าก่อสร้างจะเพิ่มสูงขึ้น แต่การที่บริษัทมีพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับการผลิตที่ดีและมีการปรับกระบวนการการก่อสร้างใหม่ โดยหันมาใช้ระบบการการก่อสร้างแบบ Coventional และการดีลกับพันธมิตรวัสดุก่อสร้างต่างๆ ทำให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการก่อสร้างได้เหมาะสม ประกอบกับการที่บริษัทมีภาระหนี้สินที่น้อย ทำให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยต่ำมาก ซึ่งบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่เพียง 0.2 เท่า ทำให้บริษัทยังมีความสามารถในการทำกำไรในระดับที่ดี
"หลังจากที่เราเข้าตลาดแล้ว เรามีความั่นใจในการสร้างการเติบโตที่ต่อเนื่อง หลังจากเราได้เงิน IPO มาแล้ว ทำให้เรามีศักยภาพในการซื้อที่ดินมาพัฒนาโครงการได้เพิ่มเติมอีก ซึ่งเงินจาก IPO เรานำไปลงทุนทั้งหมด เพราะเรามีหนี้น้อยมาก ซึ่งเรามองว่าพีซแอนด์ลีฟวิ่ง จะเป็นหุ้น Growth และหุ้นปันผลที่ดีให้กับนักลงทุนไปพร้อมๆกัน" นายประสพศักดิ์ กล่าว