นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก (GBS) ประเมินทิศทางการลงทุนปี 65 โดยให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในปีนี้ไว้ที่ระดับ 1,550-1,750 จุด โดยแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศมีโอกาสฟื้นตัวชัดเจนได้ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยคาดการณ์ตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ปีนี้ที่ 3.7% จากปีก่อนอยู่ที่เพียง 1.2% ภายใต้ปัจจัยเชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมในด้านการใช้จ่าย และมาตรการเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และกลุ่มเปราะบาง อาทิ โครงการคนละครึ่งเฟส 4 และช้อปดีมีคืน
อีกทั้งสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนมีแนวโน้มว่าจะชะลอความรุนแรง และสามารถคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น เมื่อประกอบกับการฉีดวัคซีนป้องกันที่สามารถดำเนินการฉีดได้เพิ่มมากขึ้น และเริ่มมีการฉีดกระตุ้นภูมิในเข็มที่ 3 อย่างต่อเนื่อง
ส่วนปัจจัยจากตัวเลขเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศนั้น เชื่อว่ายังอยู่ในสถานการณ์ที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศควบคุมได้ แม้ว่าทางธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะทยอยลดวงเงิน QE และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามแผนเดิมที่ได้มีการส่งสัญญาณในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อกระแสเงินทุนและสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นในระยะสั้นก็ตาม
ปัจจัยที่น่าจับตาในปีนี้ อาทิ การรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในวันที่ 31 ม.ค.นี้ และการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งแรกของปี 65 ในวันที่ 9 ก.พ.คาดว่ายังคงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แม้ว่าตัวเลขเงินเฟ้อจะขยับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 2% แต่มั่นใจว่า ธปท.สามารถควบคุมสถานการณ์ได้
ส่วนการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 25-26 ม.ค.นี้ คาดว่ายังคงเดินหน้าลดวงเงิน QE ต่อเนื่อง ยังคงต้องจับตาแนวทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะยังคงแผนเดิมที่ให้ไว้ก่อนนี้ที่จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ประมาณ 3-4 ครั้งหรือไม่
ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้น 4 กลุ่มเด่นปัจจัยพื้นฐานแกร่ง และแนวโน้มการเติบโตของผลการดำเนินงานในปีนี้มีทิศทางที่สดใส นำโดย กลุ่ม Reopening Play ได้ประโยชน์หากสถานการณ์การแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย เช่น กลุ่มท่องเที่ยว ERW, CENTEL และ AWC กลุ่มห้างสรรพสินค้า CPN, CRC และ MBK
รองลงมาเป็นหุ้นในกลุ่มสื่อสาร ในปีนี้จะเห็นความเคลื่อนไหวในเรื่องของการควบรวมกิจการระหว่าง TRUE กับ DTAC มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การแข่งขันในอุตสาหกรรมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จึงแนะนำ TRUE, DTAC, ADVANC และ INTUCH
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่มองว่าเป็นสีสันไม่น้อยสำหรับปีนี้คือ หุ้นกลุ่มโรงกลั่น จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของค่าการกลั่นในไตรมาส 4/2564 กว่า 200% สู่ระดับ 6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้คาดว่าผลการดำเนินงานของหุ้นกลุ่มนี้จะปรับตัวโดดเด่นได้เช่นกัน จึงแนะนำหุ้น SPRC และ TOP
และสุดท้ายหุ้นกระแสหรือหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการขายชุดตรวจ ATK ในกลุ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งแนะนำ SMD, WINMED และ TM
ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ประเมินแนวโน้มราคาทองคำในปีนี้ ว่าราคาทองคำยังคง Side Way Down โดยคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดเร็วขึ้นเพื่อควบคุมตัวเลขเงินเฟ้อ เพราะตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดในเดือน ธ.ค.64 สูงสุดในรอบ 39 ปี ที่ 7% ซึ่งจะเป็นตัวเร่งที่สำคัญ คือ 1. อาจลดวงเงิน QE Tapering มากกว่าคาดการณ์ไว้ที่ 15,000 ล้านดอลลาร์ เป็น 30,000 ล้านดอลลาร์ และการประชุม FOMC ครั้งล่าสุด Dot Plot ชี้กรรมการเฟดเห็นตรงกันถึง 9 คนที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในปี 65 ราว 0.25-0.75%
อีกทั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ที่ล่าสุดถึงแม้การแพร่กระจายได้รวดเร็วแต่อาการผู้ป่วยไม่รุนแรง และการฉีดวัคซีนแบบ Vaccine Booster น่าจะมีประสิทธิภาพเพียงพอในการป้องกันไวรัสดังกล่าว จึงมองกรอบการเคลื่อนไหวราคาทองคำที่ 1,650-1,850 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์