ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดร่วงลงในวันนี้ (15 พ.ย.) หลังจากที่นักลงทุนต่างพากันเทขายทำกำไร ภายหลังจากที่ตลาดหุ้นฮ่องกงได้พุ่งขึ้นเกือบ 5% เมื่อวานนี้ โดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และหุ้นจีนเป็นแกนนำให้ดัชนีดิ่งลงในวันนี้
ทั้งนี้ นักลงทุนได้เทขายหุ้นจีนในช่วงการซื้อขายช่วงท้ายๆของเมื่อวานนี้ เนื่องจากมีความวิตกกังวลว่าจีนอาจตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในวันศุกร์นี้
"ตลาดได้รับแรงกดดันจากการเทขายกำไรอย่งหนัก เนื่องได้รับผลกระทบจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าจีนอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย" เคนนี่ ถัง ผู้ช่วยผู้จัดการจากทัง ไต๋ ซิเคียวริตี้ส์กล่าว
"นอกจากนี้ ตลาดหุ้นต่างประเทศที่ร่วงลงก็เป็นปัจจัยที่ฉุดให้หุ้นในฮ่องกงร่วงตามไปด้วย" เขากล่าว
ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ร่วงลงเมื่อคืนนี้ได้ฉุดให้ตลาดหุ้นต่างๆในภูมิภาคร่วงลงไปด้วย หลังจากที่เอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ และแบร์ สเติร์นส ได้เปิดเผยตัวเลขขาดทุนที่เพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากภาวะวิกฤตตลาดสินเชื่อของสหรัฐ
สำนักข่าวธอมสันไฟแนนเชียลรายงานว่า ดัชนีฮั่งเส็งปิดร่วงลง 414.80 จุด หรือ 1.4% ปิดที่ 28,751.21 จุด หลังแตะระดับต่ำสุดระหว่างวันที่ 28,730.30 จุด โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 1.197 แสนล้านดอลลาร์ฮ่องกง
หุ้นซัน ฮุง ไก พร็อพเพอร์ตี้ส์ ลดลง 4.60 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือ 3% และหุ้นเฮนเดอร์สัน แลนด์ ลดลง 3.05 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือ 4.3%
หุ้นกลุ่มบลูชิพส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง แม้ว่าหุ้นฮ่องกง เอ็กซ์เชงจ์ แอนด์ เคลียริ่ง ลิมิเต็ด จะสวนกระแสปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากที่บริษัทได้เปิดเผยผลกำไรสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 3 ที่พุ่งขึ้นเกือบ 3 เท่า ซึ่งเป็นผลมาจากการทำธุรกรรมในตลาดหุ้นที่เพิ่มขึ้น โดยหุ้นเพิ่มขึ้น 8.20 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือ 3.4%
"ผลประกอบการของฮ่องกง เอ็กซ์เชงจ์ ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากผลกำไรสุทธิพุ่งขึ้นเกือบ 3 เท่า แตะระดับ 1.68 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของบริษัท" จัสมิน ไล นักวิเคราะห์จากดีบีเอสกล่าว
"ตัวเลขผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นไม่เพียงแต่ได้รับปัจจัยหนุนจากการทำธุรกรรมในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำธุรกรรมในตลาดตราสารหนี้ที่แข็งแกร่งขึ้นด้วย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 20% ของผลกำไรทั้งหมด" เธอกล่าว
ส่วนหุ้น HSBC ร่วงลง 20 เซนต์ หรือ 0.1% หลังจากที่ธนาคารได้เปิดเผยตัวเลขขาดทุนในช่วงไตรที่ 3 เพิ่มขึ้น
"ความวิตกกังวลที่ว่าธนาคารอาจขาดทุนเพิ่มขึ้นอีกในช่วงไตรมาสที่ 4 นั้น กำลังส่งผลกระทบต่อธนาคาร" ปีเตอร์ ไล ผู้จัดการด้านการลงทุนจากดีบีเอส วิคเกอร์กล่าว
ทั้งนี้ HSBC กล่าวเมื่อวานนี้ว่า ธนาคารอาจขาดทุนกว่า 3.4 พันล้านดอลลาร์ จากการดำเนินธุรกิจของบริษัทในสหรัฐในช่วงไตรมาสที่ 3 เนื่องจากได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้นจากปัญหาที่เกิดขึ้นในตลาดปล่อยกู้จำนองให้กับลูกหนี้ที่ขาดความน่าเชื่อถือ (ซับไพรม์) ในสหรัฐ
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย วณิชชกร ควรพินิจ/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--