นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทาทา สตีล (ประเทศไทย) (TSTH) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงเป้าปริมาณการขายเหล็กงวดปี 64/65 (เม.ย.64-มี.ค.65)เติบโต 1.33 ล้านตัน จากงวดปีก่อน (เม.ย.63-มี.ค.64) ที่ทำได้ 1.3 ล้านตัน โดยได้รับแรงหนุนจากฐานที่ต่ำในปีก่อน และการฟื้นตัวของภาคการก่อสร้างหลังการกลับมาเปิดประเทศและการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 ซึ่งในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (เม.ย.-ธ.ค.64) บริษัทฯ มีปริมาณการขายสินค้าอยู่ที่ 993,000 ตัน เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ คาดว่า ปริมาณการขายเหล็กในไตรมาส 4 งวดปี 64/65 (ม.ค.-มี.ค.65) จะเติบโตกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 งวดปี 64/65 (ต.ค.-ธ.ค.64) ที่มีปริมาณการขายอยู่ที่ 321,000 ตัน จากความเชื่อมั่นในตลาดดีขึ้น หลังราคาเหล็กเส้นและเหล็กลวดทรงตัวตั้งแต่ 2 สัปดาห์ที่ผ่าน และมีแนวโน้มสูงขึ้น จึงส่งผลให้ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อสินค้ามากขึ้น รวมถึงภาครัฐก็มีการประกาศการสนับสนุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องด้วย ก็จะส่งผลดีต่อความต้องการเหล็กที่เพิ่มขึ้น
สำหรับราคาเหล็ก ณ เดือนธ.ค.64 ขายอยู่ที่ 22,000-22,500 บาท/ตัน และเดือนม.ค.65 ขายอยู่ที่ 23,000-23,500 บาท/ตัน แต่ก็ยังคงต่ำกว่าราคาตลาดโลกที่อยู่ราว 730 เหรียญ/ตัน หรือประมาณ 24,000 บาท/ตัน
ส่วนแนวโน้มการดำเนินงานในงวดปี 65/66 (เม.ย.65-มี.ค.66) ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างทำแผน คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมี.ค.65 โดยเบื้องต้นยังเชื่อว่าสินค้าเหล็กลวด (Wire Rod) จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 64/65 อีกทั้งบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้าใหม่ ให้แก่ลูกค้าปัจจุบัน เพื่อเพิ่มปริมาณการขายเหล็กให้เติบโตมากขึ้น รวมถึงยังได้เตรียมความพร้อมที่จะขายสินค้าไปยังตลาดใหม่ๆ จากปัจจุบันที่มีการขายอยู่ในประเทศ ลาว กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย และล่าสุดที่แคนาดา โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอประเทศนิวซีแลนด์ คาดว่าจะได้รับอนุญาตเพื่อส่งออกสินค้าในเดือนเม.ย.-พ.ค.65 ซึ่งจะช่วยให้ TSTH ขยายตลาดไปยังนิวซีแลนด์และออสเตรเลียเพิ่มขึ้นได้
บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะขายสินค้าที่เป็นสเปเชียล โปรดักส์ ไปยังหน่วยต่างๆ เช่น การขายเพื่อส่งไปยังโครงการของกรมทางหลวง รวมถึงการขายผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูป ตัดและดัด ให้เพิ่มขึ้นด้วย
นายราจีฟ กล่าวถึงความคืบหน้าของการหาผู้ร่วมทุนรายใหม่ของบริษัทฯ ว่า ขณะนี้ต้องพักการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวไปก่อน 2-3 ปี เพื่อโฟกัสในการดำเนินธุรกิจ หลังจากสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก และต่างจากเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการของ TSTH ที่ทำได้ดีขึ้น ทั้งในแง่ของตัวเลข การดูแลลูกค้า เป็นต้น ทำให้ความต้องการขายหุ้นของบริษัทแม่ลดลง
ก่อนหน้านี้ T S GLOBAL HOLDINGS PTE.LTD ผู้ถือหุ้นใหญ่ จากประเทศอินเดีย มีแผนที่จะขายหุ้น TSTH ที่ถืออยู่ในสัดส่วน 67% เพื่อนำเงินกลับไปลงทุนในประเทศอินเดีย เนื่องจากเป็นตลาดที่การบริโภคเหล็กเติบโตอย่างมาก