นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บมจ. สมาร์ทคอนกรีต (SMART) เปิดเผยว่าเป้าหมายการเติบโตของบริษัทในปีนี้ ตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 500 ล้านบาท หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% จากปีก่อน ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้จากงานภาครัฐอยู่ที่ 40% ภาคเอกชน 60% โดยแบ่งสัดส่วนรายได้จากสินค้าอิฐมวลเบาอยู่ที่ 95% และสินค้าบล็อคผนังตกแต่ง 5%
ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 80% โดยในปลายปีที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนเครื่องจักรใหม่ช่วยเพิ่มการผลิตบล็อคมวลเบาตกแต่ง เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
สำหรับทิศทางและกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจปี 2565 บริษัทเดินหน้าออกผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น ชูจุดเด่นช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ประหยัดพลังงาน ลดต้นทุน และรักษาสิ่งแวดล้อม อาทิ อิฐมวลเบาขนาดใหญ่พิเศษ (Jumbo Block) อิฐมวลเบาขนาดเล็กพิเศษ (Compact Block) สำหรับแก้ไขข้อจำกัดในการก่อสร้าง และ คานทับหลังสำเร็จรูป ที่ติดตั้งได้ง่าย รวดเร็ว สามารถประหยัดเวลา ช่วยลดความยุ่งยากของงานก่อผนัง
อีกทั้ง พัฒนาสินค้าใหม่อิฐมวลเบาเพื่องานตกแต่งภายใน-ภายนอกเพิ่ม เตรียมออกสินค้าใหม่ 2 ลาย จากเดิม 8 ลาย หลังมีกระแสตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า เจ้าของบ้าน อาคาร ร้านอาหาร ร้านกาแฟ โรงแรม ส่งผลให้ยอดขายเติบโตต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทมุ่งเน้นกลยุทธ์การทำตลาดออนไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้กับลูกค้าในวงกว้าง ผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย โดย SMART ถือเป็นผู้ผลิตอิฐมวลเบารายแรกๆที่เริ่มใช้กลยุทธ์การตลาดออนไลน์เข้ามาช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคให้ง่ายขึ้น มีกระแสตอบรับที่ดี ช่วยสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น ควบคู่กับการทำการตลาดแบบออฟไลน์ โดยการผลักดันสินค้าอิฐมวลเบา -อิฐมวลเบาตกแต่ง ผ่านช่องทางการจำหน่าย ดีลเลอร์ กลุ่มร้านค้ารายย่อย ร้านค้าช่วง และ ทำการตลาดเพิ่มขึ้นให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มเจ้าของบ้าน ผู้รับเหมาขนาดกลาง-รายย่อย รวมถึง การจัดทำรายละเอียดสินค้าเป็นระบบ 3D เพื่อนำเสนอไอเดียกับกลุ่มลูกค้างานโครงการ สถาปนิก หรือ นักออกแบบตกแต่งภายใน (Interior Design) ช่วยสร้างยอดขายให้เติบโต
นายรังสี กล่าวว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ภาพรวมของเศรษฐกิจในประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับ โครงการก่อสร้างของภาครัฐ ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้า อาคารโรงพยาบาล อาคารสำนักงานต่าง ๆ รวมถึงการเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม ส่งผลให้ธุรกิจภาคเอกชน เริ่มฟื้นตัว อีกทั้ง นโยบายการผ่อนปรน LTV หนุนให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เริ่มกลับมาลงทุน ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ความต้องการสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาปรับตัวดีขึ้น