นายภูวสิษฏ์ วงษ์เจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพีแอล กรุ๊ป (CPL) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 65 เติบโต 20% จากปีก่อน จากภาพรวมอุตสาหกรรมฟอกหนังในปีนี้คาดจะมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น แต่จะเป็นไปอย่างช้าๆ ขณะที่ก็มั่นใจว่าอุตสาหกรรมได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว หลังจากอยู่ในภาวะซบเซาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ภาพรวมธุรกิจในช่วงที่ผ่านมามีทิศทางที่สดใสขึ้น โดยมีคำสั่งผลิตเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในธุรกิจผลิตและจำหน่ายหนังสำเร็จรูป และธุรกิจรับฟอกหนัง โดยเฉพาะธุรกิจรับฟอกหนังที่ล่าสุดกำลังการผลิตหนังวัวเพิ่มจาก 45% ในปีที่แล้วมาอยู่ที่ 75% และหนังหมูเพิ่มจาก 60% เป็น 80% และบริษัทยังคาดว่าในปีนี้จะมีปริมาณการผลิตหนังสำเร็จรูปประมาณ 20 ล้านตารางฟุต เพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากปีที่แล้วที่มีปริมาณการผลิต 18 ล้านตารางฟุต
"ปัจจัยหลักที่ทำให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมดีขึ้น มาจากภาพรวมของเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว ทำให้ลูกค้าเริ่มส่งออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่องและทำให้ครึ่งแรกของปีนี้ เราใช้อัตรากำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่า การเตรียมความพร้อมด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักร รวมถึงทักษะฝีมือแรงงานในช่วงที่อุตสาหกรรมซบเซา ทำให้เราสามารถรับมือกับคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาได้อย่างทันที ทำให้ไม่เสียโอกาส และเรายังเตรียมขยายพื้นที่โรงงานเพิ่มเติม เนื่องจากลูกค้าที่เป็นแบรนด์ชั้นนำของโลกต้องการสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น โดยจะต้องใช้การผลิตที่มีมาตรฐานสูง ซึ่ง CPL มีความพร้อมที่จะรองรับอยู่แล้ว เราจึงค่อนข้างมั่นใจว่าจะทำให้ผลประกอบการในปี 65 มีแนวโน้มดีขึ้น โดยเราตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไว้ที่ 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา" นายภูวสิษฏ์กล่าว
สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนผลการดำเนินงานในปีนี้ยังมาจากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลง หลังจากมีการประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีทิศทางแข็งค่าขึ้น และค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะเอื้อต่อการส่งออกของ CPL อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ครึ่งหลังของปีนี้ เป็นช่วงที่มีความท้าทายสูง เนื่องจากต้องจับตาดูว่าจะมีแรงส่งจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในครึ่งปีแรกต่อไปหรือไม่ รวมถึงปัจจัยพลิกผันจากการระบาดหรือการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 ซึ่งฝ่ายบริหารจะติดตามปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิดเพื่อรับมือให้ทันกับสถานการณ์
ด้านธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล (เซฟตี้ โปรดักส์) ภายใต้แบรนด์ แพงโกลิน ในปีนี้มีโอกาสที่จะฟื้นตัวตามภาพรวมเศรษฐกิจ ที่ภาคอุตสาหกรรมและโรงงานกลับมาผลิตได้มากขึ้นอีกครั้ง รวมถึงงานก่อสร้างที่มีแนวโน้มดีขึ้น หลังจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สินค้าที่เป็นสินค้าขายดีหรือ Product Hero จะอยู่ในกลุ่มบริการทางการแพทย์ ทั้งหน้ากาก ชุดป้องกัน PPE โดยเชื่อว่าในปีนี้กำลังซื้อจะกลับมาในกลุ่มสินค้าสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมอีกครั้ง