นายอรรถวิชญ์ เอกธนิตพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.บลิส-เทล (BLISS) เปิดเผยถึงการใช้เงินเพิ่มทุนว่า บริษัทมีแผนที่จะใช้เงินที่ได้รับจากการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมประมาณ 236 ล้านบาท หรือประมาณ 40-50% ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันภายในไตรมาสที่ 1/51 โดยส่วนที่เหลือจะสำรองไว้สำหรับลงทุนเพิ่มเติมในโครงการดังกล่าวและโครงการอื่นตามแผนการขยายธุรกิจของบริษัทต่อไป
สำหรับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นเพียงการบริหารเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทเท่านั้น บริษัทจึงมิได้มีนโยบายที่จะนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แต่อย่างใด
อนึ่ง คณะกรรมการของบริษัท เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจาก 315 ล้านบาท
เป็น 900 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญ จำนวน 5,850,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.10 บาท รวม 585 ล้านบาท และแบ่งจัดสรรเพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ BLISS-W1 จำนวน 690 ล้านหุ้น และจำนวร 1,575 ล้านหุ้น สำหรับรองรับ BLISS-W2, เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม 1,575 ล้านหุ้น ในอัตรา 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ และรองรับ ESOP 350 ล้านหุ้น รวมทั้งเสนอขาย PP จำนวน 1,660 ล้านหุ้น
นายอรรถวิชญ์ กล่าวถึงผลกระทบต่อราคาตลาดของหุ้น(Price Dilution)เมื่อมีการเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมทั้งจำนวนในต่ำกว่าราคาตลาดว่า จะมีผลกระทบต่อราคาตลาดของหุ้นบริษัทลดลงในอัตราร้อยละ 24.24 โดยมีข้อสมมุติฐานว่า หุ้นใหม่ที่เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมจำนวน 1,575,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 0.15 บาท และหุ้นเดิมของบริษัทจำนวน 3,150,000,000 หุ้น (ภายหลังการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ ปัจจุบันเท่ากับ 315,000,000 หุ้น) มีราคาตลาดเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้แล้วเท่ากับ 0.55 บาท (ราคาปิดถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้นย้อนหลัง 14 วันทำการติดต่อกัน ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2550 ถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2550 เท่ากับหุ้นละ 5.48 บาท) จะทำให้หุ้นของบริษัททั้งหมด 4,725,000,000 หุ้น ราคาลดลงตามตามทฤษฎีเป็นราคาหุ้นละ 0.42 บาท
ทั้งนี้ ผลกระทบต่อราคาตลาดของหุ้น จะขึ้นอยู่กับราคาตลาดของหุ้นของบริษัท ณ วันที่หุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ส่วนผลกระทบต่อส่วนแบ่งกำไรหรือสิทธิในการออกเสียงของผู้ถือหุ้นเดิม (Control Dilution) เนื่องจากเป็นการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม จำนวน 1,575,000,000 หุ้น เป็นการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน ดังนั้นจึงไม่มีผลกระทบต่อส่วนแบ่งกำไรและสิทธิออกเสียงของผู้ถือหุ้น
ในกรณีที่บริษัทได้จัดสรรหุ้นเพิ่มทุนตามโครงการ ESOP จำนวน 350,000,000 หุ้น แล้วเสร็จ ผู้ถือหุ้นเดิมจะได้รับผลกระทบจากการลดลงของสัดส่วนการถือหุ้นเหลือ ร้อยละ 90.00
กรณีที่บริษัทได้จัดสรรหุ้นเพิ่มทุนส่วนที่เหลือจำนวน 1,660,000,000 หุ้น แล้วเสร็จผู้ถือหุ้นเดิมจะได้รับผลกระทบจากการลดลงของสัดส่วนการถือหุ้นเหลือ ร้อยละ 65.49
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--