นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป (A5) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติในขั้นตอนสุดท้ายจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) คาดว่าจะสามารถกลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในช่วงไตรมาส 1/65 พร้อมนำบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์คุณภาพที่เป็นผู้นำในตลาดนิชมาร์เก็ต
"แม้ว่าส่วนตัวเติบโตมาในครอบครัวปัญจทรัพย์ ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกโครงการอสังหาริมทรัพย์ยุคแรกๆ ในประเทศไทย และได้ซึมซับการดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากครอบครัว อย่างไรก็ตาม A5 มีแนวคิดพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่แตกต่าง โดยให้ความสำคัญกับการศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยในทำเลที่จะพัฒนาโครงการอย่างลึกซึ้ง เพื่อนำมาพัฒนาโปรดักต์ที่แตกต่าง ภายใต้กลยุทธ์มุ่งเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม และมีวิชั่นที่จะยกระดับ A5 เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของตลาดอสังหาฯ นิชมาร์เก็ตในอนาคต หากนึกถึงโครงการที่โดดเด่น คุ้มค่า สามารถส่งต่อเป็นมรดกให้กับลูกหลานต่อไป อยากให้นึกถึง A5" นายศุภโชค กล่าว
อนึ่ง บมจ.อาดามัส อินคอร์ปอเรชั่น (ADAM) เปลี่ยนชื่อเป็น บมจ.แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป ใช้ชื่อย่อ A5 ตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค.62 หลังจากเข้าซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer : EBT) ของบริษัท แอสเซท ไฟว์ โฮลดิ้ง จำกัด (AFH) โดยระค่าตอบแทนเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 752.84 ล้านบาทด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ของ ADAM ไม่เกิน 752.84 ล้านหุ้น และยังคงถูกพักการซื้อขายในปัจจุบัน
นายศุภโชค กล่าวว่า แผนงานในปี 65 บริษัทตั้งเป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถปิดการขายโครงการวนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9-ศรีนครินทร์ ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างเปิดขายเฟสสุดท้าย (Private Zone) เป็นบ้านสร้างเสร็จพร้อมอยู่ขนาด 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 492 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นยูนิตละ 35-50 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้อีก 3 โครงการ มูลค่ารวม 3,200 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในพื้นที่กรุงเทพฯ 1 โครงการ มูลค่าราว 2,700 ล้านบาทในช่วงปลายปี และโครงการในจังหวัดอุดรธานี 2 โครงการ มูลค่า 500 ล้านบาท โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้บางส่วนในปีนี้
บริษัทวางเป้าหมายระยะกลางที่จะผลักดันรายได้ให้เติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 30-50% ต่อปี โดยในปี 65 บริษัทจะรับรู้รายได้จากโครงการ ต้นสน วัน เรสซิเดนซ์ ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ สูง 29 ชั้น จำนวน 80 ยูนิต ซึ่งปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 80% คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ภายในต้นปี 66
พร้อมกันนั้นบริษัทยังคงเน้นพัฒนาโครงการระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ และตอบโจทย์ผู้ต้องการที่อยู่อาศัยตลาดบ้านสร้างเองที่มีมูลค่าตลาดรวมในประเทศมากกว่า 200,000 ล้านบาท โดยยังมีความต้องการจำนวนมาก เห็นได้ว่าบริษัทสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ค่อนข้างดี ทั้งทำเลและรูปแบบของโครงการ ทำให้มียอดจองเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบัน A5 พัฒนาโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมแล้วรวม 7 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท
นายศุภโชค เปิดเผยอีกว่า DNA ในการพัฒนาโครงการของ A5 ได้แก่ 1.ASSET ต้องเป็น Good Asset ของลูกค้า ที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้ในอนาคต สะท้อนมาจากการเลือกทำเลที่มีศักยภาพต่อการพัฒนา 2.LEGACY ต้องพัฒนาโครงการให้มีคุณค่า ผสมการดีไซน์ที่สวยงามเหนือกาลเวลาเสมือนของสะสมที่มีคุณค่าและสามารถส่งต่อเป็นมรดกจากรุ่นสู่รุ่นได้ 3.FREEDOM ต้องเป็นที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์อิสระในการใช้ชีวิตและเปิดกว้างรองรับจินตนาการของผู้อยู่อาศัย จากการพัฒนาตัวบ้านให้พื้นที่ใช้สอยมากเพียงพอและปรับให้ตรงตามความต้องการของผู้อยู่อาศัยได้
4.FAMILY เพราะสังคมที่ดีเริ่มต้นที่บ้าน การพัฒนาโครงการจึงเน้นความปลอดภัย รวมถึงการออกแบบให้มีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อการสร้างความทรงจำที่มีความหมายของครอบครัว และ 5.ASPIRATION บ้านคือสถานที่ใช้ชีวิตมากที่สุด จึงต้องเป็นสถานที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตหรือความสร้างสรรค์ในการทำงานได้ ซึ่งสามารถสะท้อนไปสู่ความสำเร็จของผู้อยู่อาศัย