นายดนัยเดช เกตุสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดแพคเกจจิ้งทั้งในประเทศและต่างประเทศในช่วงไตรมาส 1/65 ฟื้นตัวดีขึ้นจากการคลายล็อกดาวน์ของแต่ละประเทศ โดยเวียดนามมีการเติบโตอย่างมากในไตรมาส 4/64 หลังมีการล็อกดาวน์ไปในไตรมาส 3/64 แต่ไตรมาส 1/65 คาดว่าดีมานด์น่าจะเติบโตได้ไม่เต็มที่ จากมีช่วงของวันหยุดยาว ขณะที่ประเทศอื่นๆ การเติบโตจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากยังมีเรื่องของเงินเฟ้อ หรือต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้นที่อาจจะส่งผลต่อกำลังซื้อชะลอตัวลง
ส่วนภาพรวมตลาดฯ ในระยะยาวมองว่าดีมานด์จะยังคงเติบโต จากการคลายล็อกดาวน์และกำลังซื้อที่เริ่มดีขึ้น ในขณะที่ค่าระวางเรือก็น่าจะยังอยู่ในระดับสูงไปตลอดทั้งปี ส่วนภาวะเงินเฟ้อที่มีผลต่อต้นทุนกับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ซึ่งในสภาวะแบบนี้บริษัทฯ จะต้องเร่งสร้างการทำ Synergy กับบริษัทที่ได้ควบรวมมาในช่วงปีก่อน, การเพิ่มผลผลิตในส่วนของการขยายโครงการต่างๆ ที่ได้ทำไป, บริหารจัดการต้นทุน และการเร่งทำ ESG ให้เป็นรูปธรรม
"ในปี 65 ยังเป็นปีที่น่าติดตามของ SCGP โดยเรายังคงยึดใน 4 กลยุทธ์หลัก ไม่ว่าจะเป็น Quality Growth หรือการมุ่งเน้นเติบโตจากการควบรวมกิจการ (M&P) และ Organic Expansion, Packaging Solutions, Operational Excellence และ ESG & Sustainability โดยเราตั้งเป้ารายได้ในปีนี้เติบโตเกิน 1.4 แสนล้านบาท รวมถึงวางงบลงทุนรวมเพื่อสร้างการเติบโตในระยะ 5 ปี ไว้ที่ 1 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 2 หมื่นล้านบาท และเน้นเข้าใกล้ผู้บริโภคมากขึ้น โดยใช้ Innovations และ Packaging solutions" นายดนัยเดช กล่าว
สำหรับแผนการขยายตลาดในปีนี้บริษัทยังคงเน้นการทำตลาดในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง และจะทำตลาดในยุโรปมากขึ้น ภายหลังจากได้เข้าลงทุนใน Deltalab, S.L. ประเทศสเปน
อีกทั้งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการการขยายกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ของ United Pulp and Paper Co., Inc. (UPPC) ประเทศฟิลิปปินส์ อีก 220,000 ตันต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/65 และขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารในประเทศไทยและประเทศเวียดนามอีก 1,838 ล้านชิ้นต่อปี คาดว่าแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/65ซึ่งคาดว่าจะช่วยหนุนสัดส่วนรายได้ต่างประเทศปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 60% จากเดิมอยู่ที่ 57% ของรายได้รวม