โบรกเกอร์ต่างให้คำแนะนำ"ซื้อ" หุ้นบมจ.ไทยออยล์ (TOP) คาดกำไรสุทธิในไตรมาส 4/64 จะทำนิวไฮของปี 64 และทำให้มีกำไรราว 1.2 หมื่นล้านบาทจากขาดทุน 3,300 ล้านบาทในปี 63 เป็นผลจากโรงกลั่นฟื้นตัว ค่าการกลั่นขึ้นมาระดับ 5.3 เหรียญ/บาร์เรลจาก 1.6 เหรียญ/บาร์เรลในปีก่อนหน้า และยังเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 1/65 อีกทั้งกำลังการผลิตก็สูงขึ้น เป็นผลจากการเปิดเมืองทำให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้นและจะมีความต้องการต่อเนื่องอย่างน้อยครึ่งแรกปี 65
นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนขนาดใหญ่รออยู่ ได้แก่ โครงการลงทุน CAP ในอินโดนีเซีย คาดจะได้ข้อสรุปต้นปีนี้ ที่จะมีแผนขยายกำลังการผลิต และก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีแห่งที่ 2 เพื่อรองรับปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ที่สูงขึ้นของประเทศ และโครงการ CFP เป็นโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการกลั่นผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ รวมทั้งเพิ่มกำลังการกลั่นจากเดิม 275,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน
ราคาหุ้น TOP ปิดเที่ยงที่ 53.75 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ดัชนี SET บวก 1.20%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) โนมูระ พัฒนสิน ซื้อ 78.00 คันทรี่ ซื้อ 67.00 ดีบีเอสวิคเคอร์ส ซื้อ 67.00 เอเชียเวลท์ ซื้อ 66.00 หยวนต้า ซื้อ 65.00 ยูโอบี เคย์เฮียน ซื้อ 65.00 เอเซีย พลัส ซื้อ 63.00
นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชีย เวลท์ กล่าวราคาหุ้น TOP ช่วงนี้ถูกกดดันด้วยภาพใหญ่ ซึ่งมีการขายทำกำไรออกมา โดยที่ผ่านมาราคาหุ้น TOP เล่นตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น จากราคา 48 บาท เมื่อช่วงกลางธ.ค.64 ปรับขึ้นมา 52.50 บาท (21 ม.ค.65) และค่าการกลั่น (Market GRM)ก็ปรับขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้กังวลเพราะภาพปัจจัยพื้นฐานยังเหมือนเดิม โดยยังสามารถเล่นเก็งกำไรจนกว่าประกาศผลประกอบการในไตรมาส 4/64 ในช่วงกลางเดือนก.พ.นี้ พอเข้าไตรมาส 2 เป็นช่วง Low Season และมีกำลังการผลิตใหม่ออกมา 1 ล้านบาร์เรล กดดันค่าการกลั่น แต่เมื่อผ่านช่วงนี้ไปแล้วก็ยังสามารถกลับมาเข้ามาเล่นตั้งแต่มิ.ย.และสามารถเล่นได้ระยะยาว เพราะหลังจากไตรมาส 2/65 จะไม่มีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาจนถึงปี 67
คาดว่าในไตรมาส 4/64 จะมีกำไรสุทธิ 4,788 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132% จากไตรมาส 3/64 แต่ลดลง 34% จากไตรมาส 4/63 เพราะปีก่อนมีกำไรจากการขายหุ้นบมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GSPC) และทั้งปี 64 คาดมีกำไรสุทธิ 12,000 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 3,300 ล้านบาทในปีก่อน โดยปี 64 ยังมี Stock Gain กำลังการผลิต 110% แม้ว่าสเปรดกลุ่มปิโตรเคมีจะลดลง อาทิ พาราไซลีน น้ำมันหล่อลื่น
สำหรับไตรมาส 1/65 คาดมีกำไรราว 4.7-4.8 พันล้านบาทซึ่งมีค่าการลั่น 5.98 เหรียญ/บาร์เรล ทั้งนี้คาดว่าค่าการกลั่นในปี 65 จะทรงตัวในระดับสูงเฉลี่ย 6 เหรียญ/บาร์เรล สูงกว่าปี 64 ที่มีค่าการกลั่นเฉลี่ย 3.2 เหรียญ/บาร์เรล นอกจากนี้ กำลังการกลั่นทั่วโลกลดลงซึ่งมีเพิ่มเข้ามาเพียง 1 ล้านบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบยังคงปรับขึ้นต่อเนื่องซึ่งจะยังทำให้ธุรกิจการกลั่นมี Stock Gain และการฟื้นตัวของส่วนต่างราคาปิโตรเคมี ปัจจัยบวกทั้งหมดเพียงพอชดเชยต้นทุนน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น คาดว่าปี 65 บริษัทจะมีกำไรปกติ (ไม่รวม Stock gain) ไม่น้อยกว่า 8,617 ล้านบาท
นอกจากนี้ TOP ยังมีแผนลงทุนขนาดใหญ่รออยู่ ได้แก่ โครงการลงทุน PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP)ในอินโดนีเซีย คาดจะได้ข้อสรุปต้นปีนี้ ที่จะมีแผนขยายกำลังการผลิต และก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีแห่งที่ 2 เพื่อรองรับปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ที่สูงขึ้นของประเทศ และโครงการ CFP เป็นโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการกลั่นผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ รวมทั้งเพิ่มกำลังการกลั่นจากเดิม 275,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน ที่ล่าช้ากว่าแผนจากเดิมจะแล้วเสร็จในต้นปี 66 เป็นปลายปี 66
"TOP ปีนี้ได้ปัจจัยบวกเรื่องค่าการกลั่นที่ปรับตัวขึ้น ปี 66 ได้ค่าการกลั่นฟื้นตัวต่อเนื่องและมีกำลังการผลิตใหม่ ปี 67 รับรู้กำลังการผลิตใหม่เต็มปี" นายเบญจพล กล่าว
บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนวโน้มกำไรสุทธิ ไตรมาส 4/64 อยู่ราว 4.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 137.6%qoq ดีจากทั้งกำไรปกติ และกำไรพิเศษ โดยกำไรปกติคาดเพิ่มขึ้น 67.5%qoq เป็นผลมาจากธุรกิจโรงกลั่นที่ฟื้นตัว ค่าการกลั่นขึ้นมาอยู่ระดับ 5.3 เหรียญฯ จาก 1.6 เหรียญฯ/บาร์เรล ในงวดก่อนหน้า ถึงแม้จะถูกกดดันจากธุรกิจอะโรเมติกส์และน้ำมันหล่อลื่นที่อ่อนตัวลง ส่วนกำไรพิเศษบันทึกกลับเป็นกำไร hedging และ Fx รวมถึงยังบันทึกกำไรสต็อกน้ำมันระดับสูงอยู่
ทั้งนี้ คาดกำไรปกติในไตรมาส 1/65 จะเห็นการเติบโตต่อเนื่องจากยังอยู่ในช่วง high season ของโรงกลั่น ช่วงฤดูหนาว และ โควิด-19 ผ่อนคลาย ขณะที่อะโรเมติกส์และน้ำมันหล่อลื่นน่าจะทรงตัวได้ QoQ ไม่น่าต่ำไปกว่านี้มากนักแล้ว นอกจากนี้คาดธุรกิจไฟฟ้าน่าจะเห็นการฟื้นตัวจากงวดไตรมาส 4/64 เพราะจะเริ่มกลับเข้าสู่ช่วงฤดูกาลอีกครั้งในช่วงฤดูร้อน ส่งผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าจะค่อยๆปรับตัวสูงขึ้น
ประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2565 เท่ากับ 63 บาท/หุ้น แนะนำซื้อรับงบงวดไตรมาส 4/64 ที่สดใส และแนวโน้มกำไรปี 2565 และงวดไตรมาส 1/65 ที่น่าจะยังเติบโตต่อ YoY และ QoQ โดยมีธุรกิจโรงกลั่นเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนกำไร
บล.หยวนต้า ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดกำไรสุทธิในไตรมาส 4/64 เติบโตสูง เป็นจุดสูงสุดของปี แม้คาดอัตรากำไรขั้นต้นธุรกิจปิโตรเคมี และน้ำมันหล่อลื่นจะลดลง QoQ กดดันด้วยอุปทานในตลาดที่สูงขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายดำเนินงานมักสูงขึ้นช่วงปลายปี อย่างไรก็ตาม คาดผลการดำเนินงานหลักจะทำได้ 1.7 พันล้านบาท เติบโต +36% QoQ และพลิกจากขาดทุน YoY
ประเด็นสำคัญได้แก่ 1) กิจกรรมเดินทางในประเทศฟื้นตัวหลังผ่อนปรนมาตรการควบคุม ทำให้ประเมินอัตราการกลั่นที่ 108% (+16% QoQ, +7% YoY) สูงสุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดปี 2563 2) ค่าการกลั่น ปรับขึ้นเป็น US$5.1/bbl (+219% QoQ, +325% YoY) สูงสุดในตั้งแต่ไตรมาส 1/61 จากความต้องการใช้น้ำมันที่สูงขึ้นตามการเปิดเมือง และอุปสงค์การใช้น้ำมันทดแทนก๊าซธรรมชาติที่ราคาพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ทำให้ส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปชนิดหลัก เช่น น้ำมันเบนซิน, น้ำมันดีเซล, น้ำมันอากาศยาน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี ช่วยชดเชยต้นทุนน้ำมัน Crude premium ที่สูงขึ้น และอัตรากำไรของอะโรเมติกส์ และน้ำมันหล่อลื่นได้ ประเมินอัตรากำไรธุรกิจหลัก Market GIM ที่ US$6.9/bbl (+25% QoQ, +92% YoY)
นอกจากนี้ 3) การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกมาเฉลี่ยที่ US$77.9/bbl (+9% QoQ, +75% YoY) ทำ ให้คาดว่าจะมีกำไรสต็อกน้ำมันรวม NRV 2.5 พันล้านบาท และ 4) คาดกำ ไรอัตราแลกเปลี่ยน 3 ร้อยล้านบาท จากเงินบาทแข็งค่า ส่งผลให้ไตรมาส 4/64 คาดกำไรสุทธิทำ ได้ 4.6 พันล้านบาท เติบโต +123% QoQ แต่ -37% YoY เพราะเป็นช่วงที่มีกำไรพิเศษจากจำ หน่ายหุ้น GPSC
หากไตรมาส 4/64 เป็นไปตามคาด คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2564 จะมี Upside จากรายการพิเศษ และกำไรสต็อกน้ำมัน 24% สำหรับแนวโน้มไตรมาส 1/65 ประเมินเบื้องต้นผลการดำเนินงานปกติจะประคองตัว QoQ เชื่อว่าค่าใช้จ่ายที่ลดลงตามฤดูกาล และการฟื้นตัวของ Margin อะโรเมติกส์จากการลดอัตราการผลิตของโรงงานในภูมิภาค จะสามารถชดเชยต้นทุนน้ำมัน (Crude premium) ที่สูงขึ้นได้
ส่วนภาพรวมปี 2565 คาดกำไรปกติจากธุรกิจโรงกลั่นจะฟื้นตัว โดยเฉพาะครึ่งปีแรก (1H65) หนุนจากกิจกรรมการเดินทางในประเทศ หลังสถานการณโควิด-19 ทยอยคลายตัว และการส่งออกน้ำมันจากจีนที่จำกัด คงประมาณการกำไรปกติ 9.3 พันล้านบาท (+47% YoY) ระยะยาวมีปัจจัยการเติบโตรองรับ
แม้ TOP จะมีปัจจัยถ่วงจากงบการเงินตึงตัว และการเพิ่มทุนเพื่อปรับโครงสร้างภายหลังการลงทุนใน CAP (คาดได้ข้อสรุปภายใน 1H65) อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่กลางปี 2564 ที่มีข่าวการเพิ่มทุน ราคาหุ้น -4% เทียบกับโรงกลั่นคู่แข่ง (SPRC BCP) ที่ +9% ซึ่งมองว่าราคาหุ้นได้สะท้อนข่าวลบไปมากแล้ว นอกจากนี้ ระยะยาว TOP ยังมีการเติบโตจากโครงการ CFP ขยายกำลังกลั่นจาก 275 KBD เป็น 400 KBD (คาด COD ปี 2566) และการขยายกำลังผลิตปิโตรเคมีใน CAP ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษา คาด FID ภายในปี 2565 ดังนั้นจึงคงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม ณ สิ้น ปี 2565 ที่ 65.00 บาท
https://youtu.be/_n4z2Lrfp5Y