นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) เปิดเผยในงานเสวนา Future of Growth : Thailand Vision 2030 ภายใต้หัวข้อ Vision for The Next Ten Years for Nation's Growth ว่า เทคโนโลยีที่จะมีผลต่ออุตสาหกรรมสื่อสารในอนาคตข้างหน้ามีด้วยกัน 5 เทรนด์ ได้แก่ Internet of things (IoT), Artificial Intelligence (AI) , Blockchains, Metaverse และ Robotics
โดย IoT คืออุปกรณ์ที่เชื่อมโลกกายภาพเข้าหาข้อมูล ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่มาเปลี่ยนโลกกายภาพ หรือช่วยให้ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงที่เกี่ยวข้องกับโลกกายภาพเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจาก IoT จะมีมูลค่าถึง 1.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และจะมีอุปกรณ์ที่เชื่อมโยงเข้ามาในระบบ IoT ประมาณ 1.25 แสนล้านอุปกรณ์ ภายในปี ค.ศ.2030
AI คือ ผู้ช่วยที่ใช้สมองกล โดยมีการคาดการณ์ว่ามากกว่า 50% ของสิ่งที่มนุษย์สัมผัสจะถูกขับเคลื่อนด้วย AI ภายในปี ค.ศ.2024 เช่น การมองภาพเอ็กซ์เรย์เบื้องต้นของแพทย์ โดยใช้ AI มาช่วยสแกนให้, การปล่อยเงินกู้ในรูปแบบ Microloans การนำข้อมูลมาใช้และทำเครดิตสกอริ่งก็ทำได้โดย AI มากขึ้น เป็นต้น
Blockchains คาดว่า 10% ของ GDP โลกจะขับเคลื่อน หรือผูกพันกับเรื่อง Blockchains ภายในปี ค.ศ.2027 เช่น เรื่องของข้อมูลสุขภาพที่ต้องการความน่าเชื่อถือ และเป็นส่วนตัวก็จะถูกขับเคลื่อนด้วย Blockchains เพื่อป้องกันการผิดพลาดและเปลี่ยนแปลง, การโอนเงินระหว่างประเทศ หรือแม้กระทั้งการ ICO หรือการนำเหรียญออกมาขาย เพื่อระดมทุน
Metaverse ปัจจุบันมีการพูดถึงกันอย่างมาก จากกระแสของ Facebook ที่ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Meta และถือเป็นจุดเริ่มต้น โดยมีความแตกต่างจาก Virtual reality (VR) ในลักษณะของการที่เราใส่แว่นปกติแต่อาจจะเห็นภาพเสริมหรือซ้อนเข้ามา นอกเหนือจากนั้นที่สำคัญอย่างมากคือระบบเศรษฐกิจภายใน Metaverse ซึ่งเป็นการซื้อขายกันใน Blockchains คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดที่จะเกิดขึ้นกับเรื่องดังกล่าวภายใน ค.ศ.2024 จะอยู่ที่ 800 ล้านเหรียญฯ
Robotics เกิดขึ้นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว จะเห็นได้จากหุ่นยนต์ที่อยู่ในอุตสาหกรรม หุ่นยนต์ขนส่งยาในโรงพยาบาล ซึ่งมีโอกาสเติบโตถึง 3 เท่าภายในปีนี้ เมื่อเทียบกับปี ค.ศ.2019 ขณะที่มนุษย์จะไม่ได้ถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ แต่มองเป็นการทำงานร่วมกันกับหุ่นยนต์และ AI ราว 50% ภายในปี ค.ศ.2030
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า จาก 5 เทรนด์ ดังกล่าว TRUE ก็ได้นำเอาสิ่งเหล่านั้นมาตอบสนองต่อผู้บริโภค โดยได้มีการนำเสนอโซลูชั่นให้กับผู้บริโภคในอนาคตอันใกล้และกลาง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการทำงาน การเรียน การสื่อสาร Shopping ที่รวมไปถึงเรื่องของอาหาร การจ่ายเงินออนไลน์ ชีวิตที่บ้าน Entertainment Health และการท่องเที่ยว เช่น True Health การให้บริการ Hybrid Online/Offline Health Experience และการนำ AI มาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อให้บริการกับคู่ค้า เป็นต้น
ด้านนายธนาธิป ศุภประดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบการเก็บข้อมูล (Blockchain) ที่จะทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้น ส่งผลให้ในอนาคตประชาชนจะสามารถเก็บข้อมูลต่างๆไว้ในมือถือได้ จากเดิมที่ข้อมูลต่างๆจะอยู่เพียงในโรงพยาบาลเท่านั้น ซึ่งจะเข้ามาช่วยหนุนการรักษาแบบ Telemedicine ให้มีการเติบโตมากยิ่งขึ้น
สำหรับเทคโนโลยีด้านการแพทย์ที่จะมีการปรับเปลี่ยนไป มองว่าเทคโนโลยีต่างๆจะมีการเปลี่ยนไปมีขนาดที่เล็กลง อาทิเช่น Genomics และการแพทย์แบบแม่นยำเจาะจง หรือพรีซิชันเมดิซีน เป็นต้น และจะมีการเก็บสถิติทางพันธุกรรมของมนุษย์เพื่อที่จะพัฒนาเทคโนโลยีด้านการรักษาต่อไป
โดยปัจจุบันอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านและมนุษย์มีโอกาสที่จะมีอายุถึง 105 ปี หลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้โลกขับเคลื่อนด้วยความกลัว และมีการปรับตัวด้านต่างๆของมนุษย์ ซึ่งช่วยสนับสุนให้ความรู้ด้านการแพทย์ปรับตัวสูงขึ้น โดยจะเห็นได้จากบริษัทได้เริ่มทำโรงพยาบาลสนามขึ้น ซึ่งสามารถก่อสร้างห้องความดันลบ และมีจำนวนมากถึง 300 เตียงภายในระยะเวลา 3 สัปดาห์ จากปกติเพียงแค่การออกแบบใช้เวลามากถึง 6 เดือน
นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีด้านต่างๆที่ถูกพัฒนามาก่อนหน้านี้ ได้นำเทคโนโลยีต่างๆที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใช้จริง จากเดิมที่ไม่เคยได้ใช้มาก่อน โดยเชื่อว่าเทคโนโลยีด้านการแพทย์ต่างๆที่เพิ่มขึ้นและพัฒนามากขึ้น จะช่วยหนุนให้มนุษย์มีอายุที่ยืนมากขึ้น และคุณภาพชีวิตจะดีขึ้นหากไม่มีสงคราม และโรคระบาดใหญ่ เนื่องจากประวัติศาสตร์โลกเป็นแบบนี้มาโดยตลอด