ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งไม่เพิกถอนกฎหมายแปรรูป บมจ.ปตท.(PTT) ทั้ง 2 ฉบับ เนื่องจากเกรงจะเกิดผลกระทบในวงกว้าง จึงทำให้ PTT มีสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดต่อไป แต่ให้แก้ไขประเด็นต่าง ๆ ที่ขัดต่อข้อกฎหมาย โดยเฉพาะให้มีการโอนกรรมสิทธิในที่ดินเวนคืน และท่อส่งก๊าซ-น้ำมันกลับคืนไปให้กับกระทรวงการคลัง เพราะถือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน
ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ระบุว่า ขณะนี้ บมจ.ปตท.ได้มีการจัดตั้งและกระจายหุ้นไปแล้ว และเป็นบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปสูงถึง 8.4 แสนล้านบาท ซึ่งหากมีการเพิกถอนการแปรรูปก็จะเกิดผลกระทบในวงกว้าง นอกจากนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็พยายามจะแก้ไขในประเด็นข้อกฎหมายต่าง ๆ เพื่อให้ขั้นตอนต่าง ๆ เป็นไปอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะอำนาจและกรรมสิทธิในทรัพย์สินต่าง ๆ หลังจากแปรสภาพปตท.เป็นเอกชนแล้ว
อีกทั้งศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าเหตุต่าง ๆ ไม่ถึงขั้นต้องเพิกถอนกฎหมายแปรรูป แต่ให้ผู้ถูกต้องไปดำเนินการแก้สิ่งที่ขัดกฎหมายให้แล้วเสร็จก่อนที่จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการพลังงาน
โดยเฉพาะการถือครองกรรมสิทธิในท่อส่งก๊าซทั้งที่ระยอง-สมุทรปราการ , ชายแดนพม่า-ราชบุรี รวมทั้งท่อส่งน้ำมัน ซึ่งถือเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นสาธารณประโยชน์ที่เป็นสมบัติของแผ่นดิน เมื่อ PTT แปรรูปเป็นบริษัทมหาชนแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นองคาพยพของรัฐอีกต่อไป ดังนั้นสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับท่อส่งก๊าซและท่อส่งน้ำมันก็ต้องโอนคืนกลับไปเป็นของรัฐ
นางรสนา โตสิตระกูล กรรมการมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค ในฐานะผู้ยื่นคำร้อง กล่าวว่า รู้สึกพอใจผลตัดสินคดีในระดับหนึ่ง แต่คดีนี้ยังไม่จบ เพราะถือว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นแล้ว ทั้งที่ศาลระบุว่าการแก้ไขกฎหมายเพื่อโอนกรรมสิทธิในการเวนคืนที่ดินจากปตท.กลับไปยังคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการปตท.ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อความผิดเกิดขึ้นแล้วก็ต้องจับตาดูรัฐบาลชุดนี้ว่าจะหาคนรับผิดชอบอย่างไร รวมถึงเรื่องรายได้ในกรรมสิทธิท่อก๊าซและที่ดินเวนคืนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งปตท.ไม่เคยจ่ายให้กับรัฐ
ทั้งนี้ ทางมูลนิธิจะกลับไปศึกษาคำพิพากษาถึงประเด็นข้อกฎหมายกับทีมทนายเพื่อหาช่องทางดำเนินต่อไป
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--