นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบีเอสที (KTBST) กล่าวว่า จากกรณีที่บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) ได้ออกจดหมายแจ้งถึงเหตุน้ำมันรั่วรอบ 2 ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง โดย บริษัทได้ประกาศภาวะฉุกเฉินน้ำมันรั่วไหล Tier 1 (น้ำมันรั่วไหลขนาดเล็ก ไม่เกิน 20 ตัน) เนื่องจากพบฟิล์มน้ำมันดิบ (สีเงิน) บริเวณทิศเหนือ ห่างจากทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเลหรือจุดขนถ่ายน้ำมันในทะเล (SPM) ประมาณ 3 ไมล์
ทั้งนี้ บริษัทได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอใช้ Dispersant 5,000 ลิตร (คิดเป็นสัดส่วน 1:1) ในการนำไปย่อยสลายคราบน้ำมัน แต่ถือว่าสูงเกินจำเป็นทำให้กรมควบคุมมลพิษยังไม่อนุมัติใช้สารดังกล่าว
KTBST ยังคงคำแนะนำ ถือ ที่ราคาเป้าหมาย 10.50 บาท จากผลกระทบดังกล่าวได้สะท้อนราคาหุ้นไปมากแล้ว และน้ำมันที่รั่วรอบ 2 นี้เป็นเหตุการณ์ที่ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งไม่มีนัยมากนัก
เรามีมุมมองเป็นกลางต่อข่าวดังกล่าว จากการสอบถามไปยังบริษัทเบื้องต้น ปริมาณน้ำมันรั่ว 5,000 ลิตรนี้รวมอยู่ในยอดประเมินก่อนหน้านี้ที่ 47,000 ลิตรอยู่แล้ว ซึ่งเป็นส่วนที่ค้างอยู่ในท่อ ทำให้เชื่อว่าค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นอยู่ในการประเมินของบริษัทแล้ว อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายที่เป็นไปได้ทั้งหมดจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วจะเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นในระยะสั้น แม้ว่าบริษัทจะได้ประโยชน์จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่อยู่ในระดับสูงในไตรมาส 1/65
ทั้งนี้ ยังคงประมาณการกำไรปี 65 และ 66 ที่ 4 พันล้านบาท และ 4.8 พันล้านบาทตามลำดับ สูงขึ้นจากขาดทุน 6 พันล้านบาทในปีก่อน และคาดว่าบริษัทจะรายงานกำไรในไตรมาส 4/64