นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองประธานกรรมการ บมจ.ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ (TFMAMA) กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจของ TFMAMA ต่อจากนี้ภายใต้การนำทัพของกลุ่มผู้บริหารยุคใหม่ พร้อมขับเคลื่อนสู่การดำเนินธุรกิจในรูปแบบใหม่ (New Business Model) เน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่นิยมสินค้าเพื่อสุขภาพและเทรนด์การใช้ชีวิตที่ต้องการความง่ายและสะดวก มุ่งขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่านช่องทางต่างๆ ที่หลากหลาย
บริษัทจะจับมือกับพันธมิตรต่างๆ เพื่อพัฒนาธุรกิจที่มากกว่าอาหารกึ่งสำเร็จรูป โดยมีการทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากทีมวิจัยของทีเอฟและการจับมือกับสถาบันวิชาการและมหาวิทยาลัยต่างๆ ภายใต้การขับเคลื่อนของทีเอฟอินโนเวชันทีม (TFIT) เพื่อนำพาบริษัทเดินหน้าสู่ Future Food และขยายตลาดในการรองรับผู้บริโภคในกลุ่ม Healthy เพิ่มมากขึ้น
สำหรับการทำตลาดในต่างประเทศที่ผ่านมา TFMAMA ทำตลาดไปแล้ว 68 ประเทศทั่วโลก โดยมีผลิตภัณฑ์ "มาม่า"เป็นแบรนด์หลัก โดยในอนาคตบริษัทมีเป้าหมายการทำตลาดที่มากกว่า Beyond Export นั่นคือ Global Market ซึ่งจะเน้นการทำตลาดผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพรีเมียม และไฮแวลูเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สอดรับกับเทรนด์ของผู้บริโภคในต่างประเทศ รวมทั้งการปรับดีไซน์และขนาดแพ็คเกจจิ้ง ให้มีความทันสมัยและเหมาะสมกับตลาดในแต่ละประเทศมากขึ้น รวมทั้งเน้นช่องทางการทำตลาดออฟไลน์และออนไลน์ควบคู่กัน นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่คาดว่าจะขยายการลงทุนเพิ่มในต่างประเทศ โดยปัจจุบันสัดส่วนการทำตลาดในประเทศอยู่ที่ 70% และต่างประเทศอยู่ที่ 30%
นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการสำนักกรรมการผู้อำนวยการ TFMAMA เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายใน 5 ปี (65-69) จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 30,000 ล้านบาท (ไม่รวมส่วนแบ่งรายได้จากบริษัทร่วมทุน) โดยจะเป็นการเติบโตจากตลาดในประเทศที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 15,000 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 50% และยอดขายต่างประเทศ 15,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 50%
โดยบริษัทเตรียมแผนการขยายโรงงานผลิตให้กระจายครอบคลุมทุกทวีปภายในระยะเวลา 5 ปีต่อจากนี้ ทั้งในรูปแบบของการร่วมลงทุน (JV) เข้าซื้อกิจการ (M&A) และการลงทุนเองทั้งหมด ซึ่งจะพิจารณาตามความเหมาะสมในแต่และพื้นที่ ซึ่งการขยายโรงงานให้ครอบคลุมทุกทวีปเพื่อลดปัญหาด้านภาษี และ การขนส่ง ที่จะช่วยหนุนให้ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีโนงงานอยู่ทั้งหมด 9 แห่ง แบ่งเป็นในประเทศไทย 5 แห่ง และต่างประเทศ 4 แห่ง
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 65 บริษัทวางเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 14,000 ล้านบาท (ไม่รวมส่วนแบ่งรายได้จากบริษัทร่วมทุน) แบ่งเป็นในประเทศ 10,000 ล้านบาท และต่างประเทศ 4,000 ล้านบาท โดยเป็นการเติบโตจากการที่บริษัทได้เน้นออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆในระดับพรีเมี่ยมมากขึ้น และกลุ่มอาหารพร้อมทาน เพื่อเพิ่มกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ รวมไปถึงการขยายช่องทางการจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้บริษัทเตรียมนำสินค้ากลุ่มต่างๆที่จำหน่ายในตลาดต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายยังประเทศไทยเพิ่มเติมด้วย โดยในปี 64 ที่ผ่านมาตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศไทยมีการเติบโตได้สูงถึง 10% หรือคิดเป็นการบริโภคที่ 3,700 ล้านซอง และเป็นส่วนแบ่งของแบรนด์ "มาม่า" ราว 50% ถือเป็นอันดับ 1 ของตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทย
สำหรับแผนการลงทุนในปี 65 บริษัทวางงบลงทุนไว้ไม่ต่ำกว่า 400 ล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุนเครื่องจักรใหม่ในโรงงานที่ระยอง และโรงงานที่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ซึ่งจะสามาระเพิ่มกำลังการผลิตได้ราว 5-6% จากปัจจุบันที่บริษัทมีกำลังการผลิตอยู่กว่า 2,000 ล้านชิ้นต่อปี
"ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาต้นทุนด้านการผลิตปรับตัวสูงขึ้นในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงาน แป้ง และอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทยืนยันว่ายังสามารถบริหารจัดการได้ และยังได้เดินหน้าลดค่าใช้จ่ายด้านต่างๆลง อาทิเช่นค่าไฟที่บริษัทได้มีการติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อป การติดตั้งหุ่นยนต์ในสายการผลิต และอื่นๆ ด้วย"นายพันธ์ กล่าว