นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/65 คาดว่าจะยังเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 4/64 หลังจากที่การแพร่ระบาดโควิด-19 ในช่วงต้นปีเป็นต้นมาไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจของบริษัท ทำให้บริษัทสามารถเดินหน้าในการรุกธุรกิจได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อที่ยังมีการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าได้ต่อเนื่อง
ประกอบกับในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยของลูกค้าได้เริ่มกลับมาสู่ระดับปกติเป็นส่วนใหญ่แล้วในพอร์ต จากการที่สถานการณ์ต่างๆเริ่มกลับสุ่ภาวะปกติ หลังจากที่ในปีทีผ่านมามีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ ทำให้บริษัทมั่นใจทิศทางผลงานในไตรมาส 1/65 ยังเห็นการเติบโตขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของรายได้ที่คาดว่าจะเติบโตขึ้นมากกว่าไตรมาส 4/64 จากพอร์ตสินเชื่อที่ยังเพิ่มขึ้น
แม้ว่าผลการดำเนินงานในปี 64 ที่ผ่านมากำไรสุทธิของบริษัทจะลดลงไปกว่า 5% จากปี 63 ซึ่งได้รับผลกระทบมาจากการที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) เพิ่มขึ้นมาที่ 55% จากการที่บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการซื้อวัคซีนโควิด-19 ให้กับพนักงานของบริษัท ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทจำเป็นต้องทำ เพื่อช่วยป้องกันพนักงานในการทำงาน และทำให้การทำงานต่างๆยังทำได้อย่างต่อเนื่อง ไม่เกิดการหยุดชะงัก ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวถือว่าเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวในปีก่อน และจะไม่มีรายการดังกล่าวในปีนี้ ทำให้ SG&A มีแนวโน้มลดลง
ขณะเดียวกันในปีก่อนบริษัทยังมีการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้มีผลกดดันกำไรในปีที่แล้วเล็กน้อย แต่ในปี 65 พอร์ตลูกหนี้ของบริษัทนั้นได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมาสู่ระดับปกติแล้วเป็นส่วนใหญ่ และแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยหลังจากนี้จะไม่เห็นการปรับลดอีกแล้ว ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้กำไรของบริษัทกลับฟื้นตัวขึ้น
นายปริทัศน์ กล่าวว่า แม้กำไรในปี 64 จะลดลง แต่พอร์ตสินเชื่อของบริษัทที่ยังมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเติบโตได้เกือบ 30% หรือเพิ่ม 2 หมื่นล้านบาท มาที่ 9.18 หมื่นล้านบาท ช่วยผลักดันให้รายได้เพิ่มขึ้น 1.3 พันล้านบาท มาที่ 1.6 หมื่นล้านบาท แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทที่ยังสามารถปล่อยสินเชื่อและขยายฐานลุกค้าได้เพิ่มขึ้น
ในปี 65 บริษัทตั้งเป้าสินเชื่อจะเติบโตขึ้นอีก 2.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้พอร์ตสินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นปี 65 อยู่ที่ราว 1.1 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนต่อการเติบโตรายได้และกำไรของบริษัทในปีนี้ที่กลับมาโดดเด่นอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับวางแผนขยายสาขาในปี 65 เพิ่มขึ้นอีก 700 สาขา เป็น 6,500 สาขาในสิ้นปี 64 และควบคุมสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้อยู่ใกล้เคียงกับสิ้นปี 64 ที่ 1.16% ซึ่งถือเป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำ
"ผมไม่อยากให้นักลงทุนกังวลมากเกินไป จากงบฯของเราที่กำไรออกมาลดลง ซึ่งมาจากค่าใช้จ่ายวัคซีนโควิดที่เราต้องทำให้พนักงานของเรา เพื่อการทำงาน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น One times และการลดดอกเบี้ยในปีนี้ก็ไม่มีแล้ว ลุกค้าส่วนใหญ่ในพอร์ตก็ปรับดอกเบี้ยมาระดับปกติหมดแล้ว ทำให้แรงกดดันในปีนี้ไม่มี แต่ผมอยากให้ดูว่าพอร์ตสินเชื่อเรายังสามารถเติบโตได้ และทำให้ Total revenue ยังเติบโตตามไปด้วยมากกว่า ไม่อยากให้นักลงทุนกังวลมาก เพราะเรายังสามารถสร้างศักยภาพการเติบโตได้ต่อเนื่อง" นายปริทัศน์ กล่าว
สำหรับความคืบหน้าธุรกิจ "ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง" (Buy Now Pay Later) ปัจจุบันบริษัทยังอยู่ในช่วงของการเริ่มทดสอบการดำเนินธุรกิจ และมองหาพันธมิตรที่เป็นร้านค้าเครื่องใช้ไฟฟ้ามที่จะนำระบบของ MTC ไปใช้ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นเท่านั้น คาดว่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นไม่เกินไตรมาส 1/65