นายพีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปี 65 ที่ 680 ล้านบาท หรือเติบโต 65% และรักษาอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 10% โดยสัดส่วนรายได้แบ่งตามช่องทางการจัดจำหน่าย ประกอบด้วย ช่องทางต่างประเทศ 37% ช่องทางค้าปลีก (Retail) 27% ช่องทางค้าส่ง (Trading) 24 % และช่องทาง E-Commerce 12%
โดยกำหนดกลยุทธ์เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ เน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน และพัฒนาธุรกิจให้กลับมาแข็งแกร่งภายใน 3 ปี โดยในปีนี้จะเริ่มจาก 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ (Re Model) 2. ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ (Refresh Branding) 3.ปรับโครงสร้างบริหารจัดการ เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ (Re Structuring)
สำหรับการ Re Model ได้ปรับเพิ่มช่องทางจำหน่ายหลักจากร้าน BEAUTY BUFFET เป็นการพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดแมส ( Mass Market) อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านตัวแทนจำหน่าย 13 รายใหญ่ทั่วประเทศ ซึ่งจะเน้นการขยายจุดจำหน่ายสู่ร้าน General Trade ทั้งในรูปแบบวางจำหน่ายสินค้าในร้านค้าและรูปแบบ Store in Store ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศรวม 8,600 แห่ง พร้อมทั้งเน้นการกระจายสินค้าเข้าสู่ร้าน Modern Trade รวม 6,000 แห่ง และเพิ่มสินค้าใหม่ในจุดจำหน่ายเดิม
ขณะที่ BEAUTY BUFFET SHOP จะมีการเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ให้มีความทันสมัย เป็น Professional ด้านผลิตภัณฑ์ การแนะนำเกี่ยวกับความงามอย่างครบวงจร สำหรับกลุ่มลูกค้าทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งขณะนี้บริษัทได้ทยอยปรับปรุงสาขาไปแล้วจำนวน 3 แห่ง คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ทั้ง 50 แห่งทั่วประเทศ ภายในไตรมาส 2/65 ช่องทาง E-Commerce จะเน้นเพิ่มความสามารถการนำเสนอสินค้ากับกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น พัฒนาระบบบริหารจัดการสินค้าให้มีประสิทธิภาพ อีกทั้งเพิ่มแพลตฟอร์มการเข้าถึงสินค้าให้มีความหลากหลายทั้งเว็บไซต์ของบริษัท, Market Place ชั้นนำ, Social Media ที่มีศักยภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการการเข้าถึงได้ทุกช่องทาง สั่งซื้อง่าย และได้รับสินค้าถูกต้อง รวดเร็ว
ส่วนช่องทางตลาดต่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าวางจำหน่ายใน 13 ประเทศ (จีน ฮ่องกง ไตหวัน อินโดนีเซีย กัมพูชา เวียดนาม พม่า ลาว มาลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ อินเดีย ญี่ปุ่น) ในปีนี้จะเน้นกระจายสินค้าเข้าสู่พื้นที่ต่างๆของแต่ละประเทศ และทำการตลาดให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักในวงกว้างร่วมกับตัวแทนจำหน่ายมากขึ้น ขณะที่โมเดลการขายแบบ Product License ในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักของ BEAUTY ปัจจุบันมีสินค้าทั้งสกินแคร์และเมคอัพ ที่ตัวแทนนำไปผลิตและจำหน่ายรวม 12 รายการ คาดว่าในปีนี้มีโอกาสเติบโตมากขึ้น เนื่องจากสามารถออกสินค้าได้รวดเร็ว ลดขั้นตอน ค่าใช้จ่ายในการนำเข้า-ส่งออก และตรงความต้องการของกลุ่มลูกค้า บริษัทมีแผนขยายตัวแทนจำหน่ายและจำนวนรายการสินค้าที่ให้ License เพิ่มเติมด้วยเช่นกัน "จากการปรับรูปแบบการจำหน่าย การสร้างความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม BEAUTY & WELLNESS ในช่วงที่ผ่านมา และมีการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค ซึ่งในช่วงต่อจากนี้บริษัทจะมีการสื่อสารการตลาดด้วยภาพลักษณ์ใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์แบบ O2O เต็มรูปแบบ และพรีเซนเตอร์ที่หลากหลาย"นายพีระพงษ์ กล่าว นอกจากนี้ BEAUTY ยังมีการปรับโครงสร้างการดำเนินงาน การบริหาร (Re Structuring) เพื่อลดขนาดองค์กรให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจ และสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้บริษัทสามารถลดต้นทุนการผลิต การขาย และค่าใช้จ่ายในการบริหารได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ยอดขายทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งมีการเพิ่มทีมบริหารใหม่ ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจค้าปลีก และการบริหารจัดการตัวแทนจำหน่าย เข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่ง พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ เพื่อขยายตลาดตาม Business Model ใหม่ต่อไป
*เริ่มเห็นกำไรใน Q1/65 เล็งล้างขาดทุนสะสมในปีนี้
นายพีระพงษ์ คาดว่าจะเริ่มเห็นผลประกอบการเป็นกำไรสุทธิตั้งแต่ไตรมาส 1/65 หลังจากที่บริษัทได้เร่งขยายตลาดในทุกๆช่องทางช่วยหนุนให้ยอดขายมีการเติบโต ในขณะที่ช่วง 2 ปี ที่ผ่านมาบริษัทยังได้มีการบริจัดการต้นทุนหนุนให้ค่าใช้จ่ายปรับตัวลดลงมากกว่า 50% โดยในปีนี้บริษัทจะนำกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานไปล้างขาดทุนที่มีเกือบทั้งหมด 34.43 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ารายได้จะสามารถกลับไปสู่ระดับ 3,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี หลังบริษัทได้มีการปรับโครงสร้างบริษัทเพื่อลดค่าใช้จ่ายลงมาอย่างต่อเนื่อง และเน้นการเพิ่มช่องทางต่างประเทศ ช่องทางค้าปลีก (Retail) ช่องทางค้าส่ง (Trading) และช่องทาง E-Commerce ที่เข้ามาช่วยหนุนให้รายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้บริษัทยังได้เตรียมพัฒนาสินค้าใหม่ๆออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สินค้าต่างๆมีความเหมาะสมในแต่ละช่องทางการจัดจำหน่าย ขณะที่ล่าสุดบริษัทได้ออกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชงแล้ว 1 ผลิตภัณฑ์ และเตรียมออกมาเพิ่มต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลังรวมราว 20 ผลิตภัณฑ์