นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าผลการดำเนินงานในปี 65 เติบโตจากธุรกิจเดิม 20-25%, ธุรกิจใหม่ราว 30-35% ขณะเดียวกันยังเสริมความแข็งแกร่งในส่วนของการให้บริการอย่างครบวงจร ด้วยการเปิดให้บริการ LEO Self-Storage#2 และบริการลานรับฝากเก็บตู้คอนเทนเนอร์แห่งที่สอง
ในส่วนของ LEO Self-Storage China Town สาขาที่ 2 ตั้งอยู่ ณ ตลาดน้อย ถนนเจริญกรุง ใกล้เคียงกับย่านเยาวราช มีพื้นที่เพิ่มอีก 2,000 ตารางเมตร และสามารถให้บริการได้ทั้งห้องปรับอากาศและห้องธรรมดา มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครันและปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนบริการลานรับฝากเก็บตู้คอนเทนเนอร์แห่งที่สองของ YJCD นั้น ตั้งอยู่ถนนบางนา กม. 21 ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนปรับปรุงพื้นที่ และจะพร้อมให้บริการในช่วงไตรมาส 2/65
รวมทั้งยังมีโครงการขนส่งสินค้าทางรางด้วยรถไฟความเร็วสูงจากจีนมายังลาวที่ China Post บริษัทรัฐวิสาหกิจของประเทศจีน ได้เป็น 1 ใน 5 ตัวแทนขนส่งสินค้าผ่านรถไฟความเร็วสูงลาว จีน ยุโรป ส่งผลดีต่อเนื่องมายังบริษัท ในฐานะที่เป็น Exclusive Partner รายเดียวของ China Post ในไทย
การจับมือกับ China Post ให้บริการขนส่งทางรางด้วยรถไฟความเร็วสูงลาว-จีนนี้ LEO ทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการจัดหาสินค้าจากไทยส่งไปยังจีน ซึ่งขณะนี้ได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นจำนวนมาก คาดว่ารายได้จากโครงการนี้จะเห็นเริ่มทยอยรับรู้เข้ามาตั้งแต่เดือน มี.ค.ของปีนี้ และจะค่อยๆ เติบโตขึ้นในไตรมาส 2 และ 3 ของปี 65
ในปีนี้ LEO และ China Post ยังมีแผนเพิ่ม Capacity ของสายการบิน China Post Airline ที่บินระหว่างกรุงเทพ-คุนหมิง โดยมีแผนเพิ่มเที่ยวบินและนำเครื่องบินขนาดที่ใหญ่ขึ้นเข้ามาเสริมในช่วงเดือน เม.ย.-ก.ย.นี้ เพื่อสนับสนุนนโยบายของภาครัฐที่ต้องการผลักดันและส่งเสริมการเพิ่มยอดการส่งออกผลไม้ เช่น มะม่วง ทุเรียน มังคุด และมะพร้าวไปยังประเทศจีน และทาง China Post ก็ยังมีแผนจะใช้ไทยเป็น Logistics Hub สำหรับการจัดส่งสินค้า E-commerce ใน ASEAN โดยจะทำคลังสินค้าเพื่อกระจายและจัดส่งสินค้า คาดว่าโครงการนี้จะช่วยสนับสนุนการเติบโตธุรกิจโลจิสติกส์ของ LEO ให้มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้อีกช่องทางหนึ่ง
บริษัทยังเตรียมจะสร้างการเติบโตทางธุรกิจผ่านแผนการซื้อและควบรวมกิจการ (M&A) นอกเหนือจากบริษัท เวิร์ลแอร์ โลจิสติกส์ จำกัด โดยมีแผนที่จะมองผู้ประกอบการโลจิสติกส์ในประเทศในภูมิภาคเอเชีย อาทิ เวียดนาม และอินโดนีเซีย ซึ่งจะสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และมีความยั่งยืนให้บริษัทในระยะยาว
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 64 บริษัทมีกำไรสุทธิ 198.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 250% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 56.9 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่รายได้รวม 3,369.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 198% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 1,129.1 ล้านบาท ทะลุเป้าหมายที่ 3,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าความสามารถในการสร้างรายได้ยังมีศักยภาพการเติบโตอีกมากในปี 65
ขณะที่งวดไตรมาส 4/64 มีกำไรสุทธิ 76.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 449% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 14 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 1,251.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 270% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 338 ล้านบาท โดยกำไรทำสถิติสูงสุดต่อไตรมาสแบบออลไทม์ไฮต่อเนื่องเป็นเวลา 4 ไตรมาสติดต่อกัน
ปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง ผลจากความสามารถในการสร้างรายได้ทีมีการเติบโตทั้งจำนวนเงินและปริมาณการขนส่ง และกำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีความสามารถในการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์จึงทำให้ปริมาณการขนส่งสินค้าทางเรือเติบโตได้ดีท่ามกลางสถานการณ์ในปี 64 มีการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และผู้ส่งออกไม่สามารถหาพื้นที่บนเรือสำหรับการส่งออกสินค้า ทำให้อัตราค่าระวางที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และมีปริมาณตู้สินค้าที่ให้บริการขนส่งทางเรือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"ผลการดำเนินงานในปี 64 เติบโตได้ดีมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากปริมาณการขนส่งสินค้าทางเรือเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งมีการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์อย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราค่าระวางเรือปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดปี LEO ได้ใช้จุดแข็งจากการที่บริษัทฯ มีการสร้างความสัมพันธ์เชิงกลยุทธิ์ (Strategic Partnership) กับสายเดินเรือหลายสายที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ช่วยให้สามารถสรรหาพื้นที่ระวาง และแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทสามารถเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ได้มากขึ้นถึง 42% เมื่อเทียบกับปี 63 จำนวนลูกค้ารายหลักของบริษัทที่ใช้บริการอย่างต่อเนื่องจากปี 63 มีมากว่า 90% ปริมาณตู้สินค้าที่นำเข้าส่งออกเติบโตขึ้นในทุกๆ trade lane รวมกว่า 74,490 TEUS และผลคะแนนความพึงพอใจในการใช้บริการของลูกค้าในปี 64 ได้คะแนนสูงขึ้นถึง 92% มากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 90%
ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้ความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 4/64 เติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งในส่วนของรายได้ ปริมาณของการส่งสินค้าทางทะเลและทางอากาศ และกำไรสุทธิ" นายเกตติวิทย์ กล่าว