นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็ปเป้ (SAPPE) เปิดเผยว่า ภาพรวมปี 65 บริษัทคาดว่ามีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องหลังตลาดต่างประเทศมีดีมานด์ฟื้นตัว ยอดขายขยายตัวสูงต่อเนื่องจากปีก่อน โดยบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมในปีนี้เติบโต 15% โดยเป็นการเติบโตจากตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงมากในอนาคต
ส่วนผลการดำเนินงานปี 64 บริษัทฯ มีรายได้รวม 3,712.8 ล้านบาท เติบโต 11.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 3,320.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 410.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 385.9 ล้านบาท ถือเป็นผลเติบโตจากตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ส่งผลทำให้มียอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากทุกภูมิภาค
ประกอบกับ SAPPE ได้เดินหน้ากลยุทธ์แบบ O2O หรือ Online to Offline Marketing ผ่านการผสมผสานการทำการตลาดทางออนไลน์และขายสินค้าในออฟไลน์ ซึ่งได้เริ่มทำกิจกรรมทางการตลาดในภูมิภาคเอเชีย เพื่อเป็นการส่งเสริมการขายและสร้างโมเมนตัมที่ดีในการจับจ่ายใช้สอย และได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มผู้บริโภค ขณะที่ในตลาดยุโรปได้เพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าในโมเดิร์นเทรดรายใหญ่ระดับประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งสินค้าที่ได้รับความนิยมที่สุดในตลาดต่างประเทศคือ เครื่องดื่มผสมวุ้นมะพร้าวแบรนด์ โมกุ โมกุ (Mogu Mogu) และเครื่องดื่มผสมว่านหางจระเข้ เซ็ปเป้ อโลเวร่า ดริ้งค์ (Sappe Aloe Vera Drink) เป็นต้น
ขณะที่ตลาดในประเทศ แม้จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เข้ามากดดันภาพรวมเศรษฐกิจ แต่บริษัทฯ ยังสามารถคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์มาสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ที่เป็น New Normal ให้กับผู้บริโภคอย่างหลากหลาย รวมถึงการคิดค้นผลิตภัณฑ์ร่วมกับพาร์ทเนอร์ โดยได้รับผลตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่เป็น Hero Products ได้แก่ ลูกอมครูเพ็ญศรี เครื่องดื่มเซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ สูตรหวานน้อย (Less Sweet) เป็นต้น
"ตลาดส่งออกของเราเติบโตทุกปีตั้งแต่ปี 61 เป็นต้นมา ยกเว้นแค่ปี 63 ซึ่งเราได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ในทุกภูมิภาค ซึ่ง ณ วันนี้ เชื่อว่าเราก้าวข้ามปัญหาดังกล่าวไปแล้วในเกือบทุกประเทศ โดยปี 64 สามารถทำ New High ทั้งรายได้รวม รายได้จากการขายต่างประเทศ และกำไรสุทธิสูงที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ" นางสาวปิยจิต กล่าว
ส่วนปัญหาเรื่องตู้คอนเทนเนอร์และค่าระวางเรือที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลประกอบการบริษัท เพราะเราเตรียมวิธีการบริหารจัดการกับคู่ค้าไว้ก่อนหน้าตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 63 แล้ว แต่ในช่วงเดือนธันวาคมซึ่งเป็นช่วงเทศกาลวันหยุดประจำปี บริษัทฯ สามารถจัดหาตู้คอนเทนเนอร์และจัดหาเรือได้ในจำนวนจำกัด จึงทำให้มียอดขายบางส่วนจะเลื่อนไปรับรู้ในเดือน ม.ค.65 แทน
สำหรับต้นทุนขายต่อยอดขายในปีนี้ บริษัทฯ ทำได้ดีกว่าปีก่อนหน้าถึง 2.6% จากการบริหารจัดการวางแผนผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในภาคส่วนอื่นๆ และ Cost Saving Projects ต่างๆ เพื่อลดผลกระทบด้านต้นทุนในภาพรวม โดยปีนี้ เราก็ยังตั้งเป้าหมายลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง