นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) เปิดเผยว่า ในปี 65 วางเป้าหมายกำไรสุทธิเติบโต 45% ถือเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นจากปีที่ผ่านมา JMT วางเป้าหมายการเติบโตแบบ Conservative ไว้ที่ 30% และทำได้ดีกว่าคาด เนื่องจากพอร์ตหนี้ที่ซื้อเข้ามาในปี 2564 มีฐานที่ใหญ่ขึ้น จะเริ่มทยอยรับรู้รายได้กลับเข้ามาในปีนี้เป็นต้นไป
พร้อมวางงบลงทุนซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารเพิ่มเติมอีก 10,000 ล้านบาท เป็นปัจจัยผลักดันให้ JMT เติบโตต่อไปในปีหน้าไม่หยุด จากก่อนหน้านี้ JMT ได้ประกาศความร่วมมือกับบริษัทลูกของธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ในช่วงปลายปี 64 ที่ผ่านมา เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน คาดกระบวนการจะแล้วเสร็จราวไตรมาส 2/65 และเริ่มเห็นการรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลัง
สำหรับผลประกอบการปี 64 ทุบสถิติสูงสุดใหม่เป็นปีที่ 6 กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,400.4 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 34% มีรายได้รวมอยู่ที่ 3,624.9 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 13.6% สะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ และเป็นธุรกิจที่แข็งแกร่งในทุกสภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่ อัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 71.5% และอัตรากำไรสุทธิ 38.6%
โดยในปี 64 ใช้งบลงทุนซื้อหนี้ด้อยคุณภาพทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันจำนวน 8,516 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีก่อนหน้าที่ใช้งบไปเพียง 3,500 ล้านบาท สนับสนุนพอร์ตหนี้ ณ สิ้นปี 64 อยู่ที่ 238,213 ล้านบาท ส่วนยอดจัดเก็บหนี้ (Cash Collection) ทำได้ดี อยู่ที่ 4,590 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 24% สนับสนุนภาพรวมกำไรแข็งแกร่งต่อเนื่อง นอกจากนี้ ภายใต้สถานการณ์โควิดที่ยังคงแพร่ระบาดต่อเนื่องตลอด 2 ปีที่ผ่านมา JMT ได้มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้า และนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ขับเคลื่อน เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และเป็น Key Driver สร้างการเติบโตระยะยาว ย้ำผู้นำธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพแบบไม่มีหลักประกันอันดับ 1 ของประเทศ