นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสรีบาวด์ตามตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาคเช้านี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการรีบาวด์ทางเทคนิคของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ โดยยังคงต้องรอติดตามท่าทีของสหรัฐที่มีต่อสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างยูเครนและรัสเซียว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป หลังจากรัสเซียเปิดปฏิบัติการทางทหารแล้ว
พร้อมให้แนวรับไว้ที่ 1,655 จุด และ แนวต้าน 1,670 จุด
ขณะที่บทวิเคราะห์ของ บล.ไอร่า คาดว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้รีบาวด์เช่นกัน โดยมองแนวรับที่บริเวณ 1,655 และ 1,645 จุด ส่วนแนวต้านที่บริเวณ 1,675 และ 1,685 จุด หลังจากวานนี้ตลาดโลกปรับตัวลงแรงรับรู้ความตึงเครียดในวิกฤตยูเครนไปบ้างในระดับหนึ่งแล้ว และการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แถลงว่าสหรัฐจะไม่เข้าสู่สงครามกับรัสเซียนอกจากรัสเซียรุกรานประเทศสมาชิกของนาโต้ เป็นปัจจัยบ่งชี้ว่าสงครามดังกล่าวจะไม่รุกรานเป็นวงกว้าง ช่วยผ่อนคลายความกังวลของตลาดได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม คาดว่าสหรัฐและชาติพันธมิตรจะออกมาตรการคว่ำบาตรที่มากขึ้นเพื่อกดดันให้รัสเซียเข้าร่วมโต๊ะเจรจา โดยหากไม่ออกมาตรการที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกพลังงานรัสเซียคาดตลาดจะผ่อนคลายมากขึ้น แต่หากออกมาตรการคว่ำบาตรเต็มรูปแบบรวมทั้งการกีดกันการส่งออกพลังงานของรัสเซียคาดจะเป็นปัจจัยให้ตลาดเข้าสู่ภาวะ Risk-off ได้อีกครั้ง
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (24 ก.พ.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,223.83 จุด เพิ่มขึ้น 92.07 จุด หรือ +0.28%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,288.70 จุด เพิ่มขึ้น 63.20 จุด หรือ +1.50% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,473.59 จุด พุ่งขึ้น 436.10 จุด หรือ +3.34%
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดเพิ่มขึ้น 242.38 จุด หรือ +0.93%, ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 15.38 จุด หรือ +0.45% ส่วนตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 6.54 จุด หรือ +0.03%
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (24 ก.พ.) ที่ระดับ 1,662.72 จุด ลดลง 33.73 จุด, -1.99%
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,003.25 ล้านบาท เมื่อวันที่ 24 ก.พ.65
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (24 ก.พ.) เพิ่มขึ้น 71 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 92.81 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2557
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (24 ก.พ.) อยู่ที่ 7.08 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.59 แนวโน้มผันผวน มองกรอบเคลื่อนไหววันนี้ 32.40-32.65
- พลังงาน "พร้อมรับมือวิกฤติน้ำมัน หลังรัสเซีย-ยูเครนตึงเครียดขึ้น มีน้ำมันสำรอง 2 เดือน แนะประชาชนประหยัด "อาคม" มั่นใจคุมดีเซลได้ 30 บาท "หุ้นไทยดิ่ง 34 จุด "บล.เมย์แบงก์" คาดเลวร้ายสุด ดัชนีแนวรับ 1,600 จุด "ตลท." แนะติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด นักลงทุนแห่เทรดทองวานนี้พุ่ง 1,100 บาท
- สธ.ตั้งเป้า 4 เดือนจากนี้ไทยหลุดพ้น จากการระบาดใหญ่โควิด 19 สู่การเป็นโรคประจำถิ่น ระบุยอดป่วยหนัก-เสียชีวิตต่ำกว่าระลอกก่อน 10 เท่า ทำแผนค้นหากลุ่มเสี่ยงถึงบ้านสมัครใจฉีดให้ทันที คาดได้ 60-70% จะทำให้ยอดเสียชีวิตรายวันลดลงอีกครึ่งหนึ่ง ขณะที่ยอดผู้ป่วยรายใหม่ 2 เดือนกว่า 5 แสนรักษาในรพ.หลัก 1.8 แสน อาการหนัก 905 ราย ฉีดวัคซีนเข็ม 3 แล้ว 19 กว่าล้านโดส
- นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม กล่าวถึงความคืบหน้าโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและระบบราง (เอ็มอาร์ แมป) ว่า ที่ประชุมขับเคลื่อนการศึกษาแผนพัฒนาเอ็มอาร์ แมป รับทราบผลศึกษาของกรมทางหลวง (ทล.) จัดทำแผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายเอ็มอาร์ แมป แล้วเสร็จ 10 เส้นทาง มีการปรับแนวเส้นทางบางช่วงทำให้มีระยะทางรวมประมาณ 7,003 กิโลเมตร (กม.) โดยมีเส้นทางที่พัฒนาเป็นมอเตอร์เวย์ร่วมกับระบบรางด้วย แบ่งเป็นแนวเหนือ-ใต้ 3 เส้นทาง แนวตะวันออก-ตะวันตก 6 เส้นทาง และวงแหวนรอบกรุงเทพมหานครรอบที่สาม 1 เส้นทาง ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินงานโครงการนำร่อง 3 เส้นทาง
- รัฐสภารับหลักการ ร่าง พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ทั้ง 4 ฉบับ ตั้ง 49 กมธ. ประสานเสียงรับกลับไปใช้ "บัตรใบเดียว" ไม่ได้แล้ว ฝ่ายค้านหนุนผู้สมัคร-พรรคใช้เบอร์เดียวกันทั้ง ปท. แต่ รบ.เสนอแยกเบอร์
*หุ้นเด่นวันนี้
- TOP (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ" เป้าหมาย 67 บาท ระยะสั้นคาดว่ากลุ่มพลังงานเป็น Sector ที่จะ Outperform ท่ามกลางความตึงเครียดรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นต่อเนื่องโดยล่าสุด Brent ทะลุ 100 เหรียญต่อบาร์เรล แนวโน้มกำไรไตรมาส 1/65 จะเร่งตัวหนุนจากทั้ง Stock Gain รวมถึงค่าการการที่ยืนสูงระดับ 6-7 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งสามารถชดเชยธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังไม่โดดเด่นได้ ปัจจุบันราคาหุ้นเทรด PBV เพียง 0.8 เท่าช่วยจำกัด Downside
- JMT (กรุงศรี) "ซื้อ" เป้า IAA Consensus 77 แจ้งกำไรสุทธิไตรมาส 4/64 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยมีกำไรสุทธิ 477 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 36%qoq และ 44%yoy และสูงกว่าที่ตลาดส่วนใหญ่คาดว่าจะมีกำไรเพียง 410 ล้านบาท
- KKP (เมย์แบงก์) เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 80 บาท แนวโน้มผลการดำเนินงานคาดปรับตัวขึ้นสอดคล้องกับพอร์ตสินเชื่อที่ขยายตัวได้ดี ผสานกับรายได้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนที่ยังได้อานิสงส์เชิงบวกจากปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงรายได้วาณิชธนกิจที่ดีต่อเนื่อง ผสานคาดจ่ายปันผลสูงกว่า 7.5% ต่อปี