นายพีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจปี 65 ตั้งเป้าเทิร์นอะราวด์ โดยในไตรมาส 1/65 คาดว่าผลประกอบการจะมีแนวโน้มดีขึ้นเป็นลำดับ เป็นผลจากการะแสตอบที่ดีจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ การปรับช่องทางการจัดจำหน่ายที่เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น อาทิ ร้าน General Trade ทั้งในรูปแบบวางจำหน่ายสินค้าในร้านค้า รูปแบบ Store in Store และการกระจายสินค้าสู่ร้าน Modern Trade ขณะที่ตลาดต่างประเทศฟื้นตัว และมีคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจปี 2565 บริษัทได้กำหนด 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ (Re Model) 2. ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ (Refresh Branding) 3.ปรับโครงสร้างบริหารจัดการ เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ (Re Structuring) เพื่อพัฒนาธุรกิจให้กลับมาแข็งแกร่งภายใน 3 ปี
พร้อมตั้งเป้าหมายการเติบโตปี 2565 รายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 65% หรือ อยู่ที่ประมาณ 680 ล้านบาท และรักษาอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 10% และมีสัดส่วนรายได้แบ่งตามช่องทางการจัดจำหน่าย ประกอบด้วย ช่องทางต่างประเทศ 37% ช่องทางค้าปลีก (Retail) 27% ช่องทางค้าส่ง (Trading) 24 % และช่องทาง E-Commerce 12%
โดยช่วงต่อจากนี้ ตลาดในประเทศ บริษัทจะเร่งออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆในกลุ่ม BEAUTY & WELLNESS ออกสู่ตลาดแมส ( Mass Market ) อย่างเต็มรูปแบบผ่านตัวแทนจำหน่าย 13 รายใหญ่ทั่วประเทศ สู่ร้าน General Trade และ Modern Trade ขณะที่ BEAUTY BUFFET SHOP จะมีการเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ทั้ง 50 แห่งทั่วประเทศ ภายในไตรมาส 2/65 อีกทั้ง บริษัทจะมีการสื่อสารการตลาดด้วยภาพลักษณ์ใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์แบบ O2O เต็มรูปแบบ และพรีเซนเตอร์ที่หลากหลาย
ส่วนช่องทางตลาดต่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าวางจำหน่ายใน 13 ประเทศ ในปีนี้จะเน้นกระจายสินค้าเข้าสู่พื้นที่ต่างๆของแต่ละประเทศ และทำการตลาดให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักในวงกว้างร่วมกับตัวแทนจำหน่ายมากขึ้น ขณะที่โมเดลการขายแบบ Product License ในประเทศจีน บริษัทมีแผนขยายตัวแทนจำหน่ายและจำนวนรายการสินค้าที่ให้ License เพิ่มเติมด้วยเช่นกัน
ช่องทาง E-Commerce จะเน้นเพิ่มความสามารถการนำเสนอสินค้ากับกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น พัฒนาระบบบริหารจัดการสินค้าให้มีประสิทธิภาพ อีกทั้งเพิ่มแพลตฟอร์มการเข้าถึงสินค้าให้มีความหลากหลายทั้งเว็บไซต์ของบริษัท, Market Place ชั้นนำ, Social Media ที่มีศักยภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการการเข้าถึงได้ทุกช่องทาง สั่งซื้อง่าย และได้รับสินค้าถูกต้อง รวดเร็ว
สำหรับผลประกอบการปี 2564 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 411.8 ล้านบาท ลดลง 47.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 786.8 ล้านบาท ขาดทุนทางบัญชีสุทธิ 80.8 ล้านบาท ขาดทุนลดลง 23.0 % จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 104.9 ล้านบาท ผลขาดทุนที่ลดลงเนื่องจากการปรับกลยุทธ์แนวทางบริหารจัดการเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ ควบคุมต้นทุนการดำเนินงานและลดค่าใช้จ่ายในการบริหาร รวมถึงลดขนาดองค์กรให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจ
ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 4/64 บริษัทมีรายได้รวม 117.3 ล้านบาท ลดลง 39.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 194.1 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 55.6 % จากไตรมาส 3/64 ที่มีรายได้รวม 75.4 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 8.4 ล้านบาท ลดลง 61.7 % จากไตรมาส 3/64 ที่มีขาดทุนสุทธิ 22.0 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 144.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรทางบัญชีสุทธิ 18.9 ล้านบาท
ทั้งนี้ผลขาดทุนดังกล่าว ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างธุรกิจ ซึ่งเป็นการจ่ายครั้งเดียวที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ (Non-routine expenses) จากการตั้งค่าเผื่อสินค้าเสื่อมสภาพ (Stock Provision) จำนวน 8.6 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทมีผลประกอบการจากการดำเนินงานในไตรมาส 4 ขาดทุนอยู่ที่ 8.4 ล้านบาท รายได้ของบริษัท หากเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อน ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากระบบการค้าในประเทศยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่มีสัญญาณดีขึ้น ในลักษณะค่อยๆฟื้นตัว จากนโยบายการเปิดประเทศ รับนักท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ประกอบกับเป็นช่วงไฮซีซั่นธุรกิจ.