นายเกษมสิทธิ์ ปฐมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ คาดว่า ผลประกอบการของบริษัทในปีนี้จะพลิกสถานการณ์มามีกำไรจากปี 49 ที่มีผลประกอบการขาดทุน 39 ล้านบาท โดยเริ่มเห็นกำไรตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้แล้ว และในปี 51 เชื่อว่าจะมีกำไรต่อเนื่อง
ปัจจุบัน บริษัทมีขาดทุนสะสม 140 ล้านบาท ซึ่งจะพยายามล้างขาดทุนสะสมให้หมดภายใน 2 ปีข้างหน้า
แผนธุรกิจในปี 51 บริษัทจะเพิ่มรายได้จากงานด้านวาณิชธนกิจ ทั้งการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และการจัดการกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) เพื่อเสริมรายได้ค่านายหน้าหลักทรัพย์ที่ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากนายหน้า 90% และส่วนใหญ่มาจากการซื้อขายลูกค้ารายใหญ่
นายเกษมสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทรับเป็นที่ปรึกษาทั้งบริษัทในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการเป็นที่ปรึกษาในการควบรวมกิจการ โดยมีดีล M&A ของบริษัทในภูมิภาคนี้ 2-3 ดีลแล้ว
นอกจากนี้ ในอนาคตบริษัทจะเน้นการดำเนินธุรกิจด้านที่ปรึกษาการลงทุน เพื่อรองรับการเปิดเสรีในใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ และค่าธรรมเนียมซื้อขายหุ้น ขณะเดียวกันก็ยังอยู่ระหว่างการศึกษาในการสร้างพอร์ตลงทุน
"ในปีหน้าการแข่งขันในธุรกิจหลักทรัพย์ ยังคงมีอยู่ เพราะใบอนุญาตจะขอได้ง่ายขึ้นจากการเปิดเสรี ดังนั้น โบรกแต่ละแห่งจะต้องมีจุดเด่น และการบริหารต้นทุนที่ดี การที่เรามีลูกค้าที่เป็นกลุ่มเฉพาะ จะใช้จุดเด่นในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าและดูแลการลงทุน ส่วนเรื่องการหาพันธมิตร ขณะนี้คงยังไม่ใช่เรื่องเร่งรีบ ถึงแม้ที่ผ่านมามีมาคุยกับบริษัทหลายรูปแบบ"นายเกษมสิทธิ์ กล่าว
สำหรับแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai นั้น บริษัทจะนำเม็ดเงินมาใช้ในการขยายธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยมาร์จิ้น สร้างพอร์ตการลงทุน อีกทั้งยังทำให้เทรดวอลุ่มได้มากขึ้น จากเม็ดเงินที่ได้มา โดยคาดว่าจะสามารถกำหนดราคา IPO ได้ช่วงสิ้นม.ค. 51
นายธนกฤต เอื้อสงวนกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บล.บีฟิท(BSEC)ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำในการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ กล่าวว่า อยู่ระหว่างขั้นตอนการรออนุมัติจดทะเบียนหุ้นสามัญทั้งหมดเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาด mai จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)และหากทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนที่วางไว้คาดว่าจะสามารถกระจายหุ้นของเมอร์ชั่นฯได้ภายในไตรมาส 1/51
บล.เมอร์ชั่นฯ จะขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนครั้งแรก(IPO) 100 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท หรือคิดเป็นประมาณ 16.67% ของทุนจดทะเบียน มีวัตถุประสงค์นำเงินที่ได้จากการขายหุ้นครั้งนี้ไปใช้ในการขยายธุรกิจและเป็นทุนหมุนเวียน
"มั่นใจว่าหุ้นของเมอร์ชั่นฯ จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นบริษัทที่สามารถให้บริการทางการเงินที่หลากหลาย และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ครบถ้วน และมีผู้บริหารและกลุ่มผู้ถือหุ้นที่มีประสบการณ์ในธุรกิจหลักทรัพย์" นายธนกฤต กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--