นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ มาร์ท (JMART) เปิดเผยว่า ในปี 65 บริษัทคาดว่ามูลค่าธุรกรรมที่มาจากการใช้ JFIN Coin จะเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 2-3 พันล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่กว่า 1.1 พันล้านบาท เนื่องจากจะมีปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุนการใช้งานเพิ่มขึ้น หลังจากเริ่มนำ JFIN Coin มาใช้กับบริการของกลุ่ม บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ด้วยการเปิดตัวในการนำไปแลกเป็นคะแนน Rabbit Reward และจะมีการนำไปใช้ในการบริการอื่นๆ เช่น Kerry ในอนาคต
ขณะเดียวกัน ทางบริษัทในเครือของ JMART คือ บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด (JVC) ยังมีการพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ๆ ออกมาต่อยอดเพื่อผลักดันการใช้ JFIN Coin มากขึ้น เช่น แพลตฟอร์ม JNFT ที่เปิดให้บริการแล้ว และ JMetaverse ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา รวมถึงระบบการเงินที่เกี่ยวข้องกับการกู้ยืม ซึ่งจะมีการทยอยเปิดตัวออกมาภายในปีนี้
อีกทั้ง กลุ่ม JMART ยังขยายความร่วมมือกับพันธมิตรนอกเครือในการนำ JFIN Coin ไปใช้ อย่างเช่น ความร่วมมือกับ บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) นำ JFIN Coin ไปใช้ใชำระค่าแผงและค่าติดตั้งโซลาร์เซลล์ รวมถึงผลิตภันฑ์อื่นๆของ GUNKUL ที่จะออกมาในอนาคต
ปัจจัยดังกล่าวนอกจากจะช่วยให้มูลค่าธุรกรรมของ JFIN Coin เพิ่มสูงขึ้นแล้ว ยังส่งผลให้จำนวนฐานบัญชีผู้ที่ใช้ J id wallet เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน คาดว่ามีโอกาสเพิ่มเป็น 1-3 ล้านบัญชีภายใน 1-2 ปีนี้ จากสิ้นปีก่อนที่มี 700,000 บัญชี ซึ่งเพิ่มขึ้นมาในระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับช่วงแรกเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมาที่มีราว 2,000 บัญชี
นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า กลุ่ม JMART เริ่มเข้าสู่สินทรัพย์ดิจิทัลมากว่า 4 ปี จากการออก ICO เหรียญ JFIN Coin โดยที่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ยังไม่มีกฎระเบียบต่างที่เข้ามากำกับดูแลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งทางบริษัทได้มีการเข้าไปปรึกษากับทางสำนักงานคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งไม่ได้มีข้อติดขัดด้านกฎระเบียบในตอนนั้น ทำให้บริษัทเป็นบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยรายแรกที่ออก JFIN Coin
ปัจจุบันการใช้ JFIN Coin จะยังคงใช้ใน Ecosystem ของกลุ่ม JMART และพันธมิตรของกลุ่มเท่านั้น เพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ (Means of Payment) ทำให้บริษัทจำกัดการนำ JFIN Coin มาใช้ เพื่อให้การผลักดันการใช้ JFIN Coin ได้เกิดขึ้นจริง