(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 294.26 จุดหลัง FED ลดดบ.เล็กน้อย

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 12, 2007 06:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเกือบ 300 จุดเมื่อคืนนี้ (11 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นลง 0.25% ซึ่งทำให้นักลงทุนผิดหวังเพราะคาดหวังว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่านี้ เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ในตลาดสินเชื่อและตลาดปล่อยกู้จำนอง
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 294.26 จุด หรือ 2.14% แตะระดับ 13,432.77 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 38.31 จุดหรือ 2.53% แตะระดับ 1,477.65 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลง 66.60 จุด หรือ 2.45% แตะระดับ 2,652.35 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 1.55 พันล้านหุ้น ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 2.22 พันล้านหุ้น
ก่อนหน้านี้นักลงทุนจำนวนมากคาดว่าคณะกรรมการเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นลงอีกประมาณ 0.50% ดังนั้น เมื่อเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียง 0.25% จึงทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ผิดหวัง เนื่องจากมีข้อมูลบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังชะลอตัวลงและวิกฤตการณ์ในตลาดปล่อยกู้จำนองให้กับลูกหนี้ที่ขาดความน่าเชื่อถือ (ซับไพรม์) ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขให้หมดไป
ทั้งนี้ คณะกรรมการเฟดมีมติด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 1 ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้น (fed funds rate) ลงอีก 0.25% สู่ระดับ 4.25% จากเดิมที่ระดับ 4.50% และปรับลดอัตราดอกเบี้ยประเภทมาตรฐาน (discount rate) ลงอีก 0.25% สู่ระดับ 4.75% จากเดิมที่ระดับ 5.00%
โดยเฟดได้ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมว่า "ข้อมูลเศรษฐกิจที่เฟดได้รับมาเมื่อไม่นานมานี้บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังชะลอตัวลง สะท้อนให้เห็นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ปรับฐานลงและตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคและภาคเอกชนก็ชะลอตัวลงด้วย"
"ขณะเดียวกัน เฟดเล็งเห็นว่าตลาดการเงินมีความผันผวนมากขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐตกอยู่ใน 'ภาวะไม่แน่นอน' ด้วยเหตุนี้เฟดจึงตัดสินใจประกาศลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเพื่อยับยั้งเศรษฐกิจไม่ให้เข้าสู่ภาวะถดถอย"
"คณะกรรมการเฟดยังคงประเมินผลกระทบจากตลาดการเงินและตลาดสินเชื่อที่จะมีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ และเฟดยืนยันว่าจะใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคาและผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างยั่งยืนต่อไป"
นอกจากนี้ เฟดระบุเรื่องเงินเฟ้อว่า "ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พื้นฐานซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดเงินเฟ้อ ได้ปรับตัวขึ้นปานกลางในปีนี้ แต่ราคาพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณ์ฑ์พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เฟดเล็งเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงเผชิญความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ และเฟดจะติดตามดูเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง"
นายบิล แน็พ นักวิเคราะห์จากบริษัทเมนสเตย์ อินเวสท์เมนท์กล่าวว่า "บางครั้งกระแสคาดการณ์ก็มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของนักลงทุนในตลาด เมื่อผลที่ออกมาผิดไปจากการคาดการณ์ ก็ทำให้นักลงทุนผิดหวังได้ แต่อย่างน้อยเฟดก็ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นลง 0.25% ซึ่งเวลาเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เพียงพอที่จะกอบกู้ความเชื่อมั่นให้กลับคืนสู่ตลาดการเงินได้หรือไม่"
"ถ้าให้ผมเดาใจเฟด ผมขอเดาว่าการที่เฟดไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 0.50% ก็เพราะกังวลว่าจะทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ซึ่งเงินเฟ้อถือเป็นความกังวลอันดับหนึ่งของเฟด ดังนั้นผมเชื่อว่าเฟดคงตัดสินใจโดยอาศัยข้อมูลรอบด้านแล้ว" นายแน็พกล่าว
ทั้งนี้ หุ้นเจนเนอรัล อิเล็กทริก ร่วงลง 38 เซนต์ ปิดที่ 37.03 ดอลลาร์ หลังจากบริษัทประกาศลดคาดการณ์ผลประกอบการในปี 2551 ขณะที่หุ้นวอชิงตัน มิวช่วล ดิ่งลง 12.4% หลังจากบริษัทประกาศว่าจะปิดสำนักงานหลายแห่งและเลิกจ้างพนักงานกว่า 3,000 คน เนื่องจากขาดทุนเป็นวงเงินสูงถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4
หุ้นซิตี้กรุ๊ป ร่วงลง 4.4% หลังจากมีข่าวว่าซิตี้กรุ๊ปประกาศแต่งตั้งนายวีแครม แพนดิท ผู้อำนวยการด้านวาณิชธนกิจ ขึ้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ซึ่งนายแพนดิทต้องกอบกู้ประสิทธิภาพในการทำกำไรและชื่อเสียงของซิตี้กรุ๊ปกลับมาให้ได้ หลังจากที่ธนาคารขาดทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในปีนี้
ส่วนหุ้นเอทีแอนด์ที ดีดขึ้น 4.1% หลังจากบริษัทประกาศว่าจะซื้อคืนหุ้นจำนวน 400 ล้านหุ้น และประกาศจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น 12.7%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ