WHA ลุ้นเซ็นสัญญาขายที่ดิน 200 ไร่-ปิดดีลเช่าคลังสินค้า 3.5 หมื่นตรม.ใน Q1/65

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday March 4, 2022 15:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อขายที่ดินกับลูกค้ารายใหญ่กว่า 200 ไร่ คาดหวังว่าจะสามารถเซ็นสัญญาได้ในไตรมาส 1/65 และยังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อขายที่ดินกว่า 300 ไร่กับลูกค้าต่างชาติที่ดำเนินธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมถึงกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยที่ขยายธุรกิจเกี่ยวกับรถ EV ด้วย

ทั้งนี้ บริษัทยังมีที่ดินที่อยู่ระหว่างรอส่งมอบ (Backlog) รวม 550 ไร่ โดยเป็นที่ดินในไทย 544 ไร่ และเวียดนาม 6 ไร่ ขณะเดียวกันปัจจุบันบริษัทมีที่ดินเปล่าในมือ (Land Bank) จำนวน 12,100 ไร่ ในส่วนนี้เป็นที่ดินที่พัฒนาไปแล้วและพร้อมขาย 4,160 ไร่ โดยยังคงมองหาโอกาสซื้อที่ดินใหม่เพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเพื่อรองรับโครงการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ส่วนธุรกิจโลจิสติกส์และคลังสินค้า ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมามีแนวโน้มที่ดี และคาดว่าภายในไตรมาส 1/65 จะสามารถปิดดีลลูกค้ารายใหญ่ได้ ในการเช่าคลังสินค้า Built-to-suit ประมาณ 35,000 ตารางเมตร หลังจากต้นปีปิดดีลไปแล้วประมาณ 10,000 ตารางเมตร ส่งผลให้คาดว่าทั้งไตรมาส 1 นี้จะมีสัญญาเช่าคลังสินค้าทั้งสิ้นราว 40,000-50,000 ตารางเมตร

สำหรับทั้งปี 65 บริษัทยังคงตั้งเป้าหมายยอดขายที่ดินไว้ที่ 1,250 ไร่ เติบโต 40% จากปีก่อนอยู่ที่ 891 ไร่ เป็นไปตามการกลับมาเติบโตของนิคมอุตสาหกรรม จากไม่มีการล็อกดาวน์ประเทศแล้ว โดยแบ่งเป็นยอดขายที่ดินในไทย 950 ไร่ และเวียดนาม 300 ไร่ ส่วนธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน วางเป้าหมายยอดขายน้ำในปีนี้ไว้ที่ 153 ล้านลูกบาศก์เมตร จากปีก่อน 135 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมถึงตั้งเป้ามีกำลังการผลิตใหม่จากพลังงานแสงอาทิตย์อีก 58 เมกะวัตต์ ส่งผลให้บริษัทจะมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในมือ (PPA) ตามสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มเป็น 700 เมกะวัตต์ จากปีก่อน 642 เมกะวัตต์

ขณะที่ธุรกิจศูนย์บริการระบบข้อมูลสารสนเทศ (Data Center) บริษัทฯ เตรียมจำหน่ายดาต้าเซ็นเตอร์ 2 แห่ง โดย 1 แห่ง คาดจะสามารถบันทึกกำไรเข้าในไตรมาส 1/65 ส่วนอีก 1 แห่งก็จะดำเนินการจำหน่ายให้แล้วเสร็จได้ภายในไตรมาส 1/65

นางสาวจรีพร กล่าวว่า บริษัทยังคงงบการลงทุน 5 ปี (65-69) ไว้ที่ 50,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ธุรกิจโลจิสติกส์ 18,000 ล้านบาท, ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 18,000 ล้านบาท, ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน 10,000 ล้านบาท, และอีก 4,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุนในธุรกิจดิจิทัล ธุรกิจสตาร์ทอัพและเทคโนโลยี เป็นต้น โดยมีเป้าหมายผลักดันรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติแตะระดับ 21,000 ล้านบาทในปี 69 หรือเพิ่มขึ้น 1.75 เท่าจากปี 64 พร้อมรักษาอัตราผลกำไร (EBITDA) แข็งแกร่งกว่า 40% และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (IBD) ต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมต่ำกว่า 1.2 เท่า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ