นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่และกรรมการบริหาร บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) เปิดเผยว่า บริษัทเห็นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล จึงเดินหน้าทำดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน โดยการลงทุนนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาปรับใช้ ทั้งในส่วนของกระบวนการผลิตภายในโรงงานแห่งใหม่และการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับใช้เป็นช่องทางติดต่อสื่อสารและรับซื้อยางจากเกษตรกร เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยางไทยและนำองค์กรก้าวสู่ยุค 4.0 ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่
โดยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นใหม่ของบริษัทที่จะทยอยแล้วเสร็จในปีนี้ 10 โครงการ ทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 3.7 ล้านตัน/ปี จากปี 64 อยู่ที่ 2.8 ล้านตัน/ปี และที่จะลงทุนขยายโรงงานใหม่ในอนาคต ได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีความทันสมัย เช่น ระบบโรโบติกส์ (หุ่นยนต์) ระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เป็นต้น เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตด้วยระบบออโตเมชั่น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการผลิตได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สามารถช่วยลดการเพิ่มจำนวนแรงงานใหม่ในอนาคตเพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องตามแผนงาน
บริษัทวางเป้าหมายว่าการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและระบบออโตเมชั่นเข้ามาใช้ในโรงงานใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตยางได้มากขึ้น โดยนับจากปี 63?67 แรงงาน 1 คนสามารถผลิตยางได้เฉลี่ย 16 ตัน ตั้งเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ย 35 ตัน หรือมีความสามารถผลิตยางต่อแรงงาน 1 คน เพิ่มขึ้นประมาณ 120% ภายในระยะเวลา 5 ปี
"โรงงานใหม่ของบริษัทที่จะทยอยแล้วเสร็จจะใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของอุตสาหกรรมยางธรรมชาติ เนื่องจากเรามองว่าการลงทุนด้านดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน เป็นหัวใจสำคัญที่จะยกระดับองค์กร เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลและเพิ่มศักยภาพในการผลิตที่ดียิ่งขึ้น โดยไม่ต้องเพิ่มแรงงานใหม่เป็นจำนวนมากเพื่อรองรับแผนงานขยายกำลังผลิต" นายวีรสิทธิ์ กล่าว
บริษัทได้ยกระดับอุตสาหกรรมยางในประเทศไทยสู่ยุคดิจิทัล โดยเป็นผู้ประกอบการยางธรรมชาติรายแรกในไทยที่เปิดมิติใหม่ด้วยการพัฒนาแอปพลิเคชันภายใต้ชื่อ "ศรีตรังเพื่อนชาวสวน" (SRI TRANG FRIENDS) เข้ามาใช้ในการรับซื้อยางจากเกษตรกรชาวสวนเพื่อ ช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว สร้างความโปร่งใสในระบบ Supply Chain อย่างยั่งยืน และมีกิจกรรมเพื่อรับสิทธิพิเศษต่างๆ รวมถึงติดตามข้อมูลสารเกี่ยวกับเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยางผ่านแอปพลิเคชัน
ปัจจุบันแอปพลิเคชันดังกล่าวได้รับความสนใจและมียอดดาวน์โหลดแอปฯแล้วกว่า 12,000 ราย ซึ่งล่าสุดอยู่ระหว่างการพัฒนาแอปพลิเคชันเวอร์ชั่นใหม่ที่ตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น มีฟีเจอร์เสริม และเพิ่มสิทธิประโยชน์ต่างๆไปจนถึงการสนับสนุนการสร้างรายได้แก่ชุมชน เพื่อให้เป็น Super App ที่ครอบคลุมการบริการ ข้อมูลข่าวสารและการใช้งานในทุกมิติที่เกี่ยวข้องกับยางธรรมชาติไว้ในแอปฯเดียว ถือเป็นอีกก้าวในการพัฒนาอุตสาหกรรมยางในประเทศไทย คาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาส 3/65