นายไพโรจน์ สมุทรธนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.โกลบอลกรีนเคมิคอล (GGC) เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้รวมปี 65 เติบโตกว่าปีก่อนที่อยู่ที่ 20,995.23 ล้านบาท เนื่องจากได้มีการปรับปรุงโรงงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อช่วยลดต้นทุนลง และประสบความสำเร็จในการจัดหา Feed Stock ทางเลือกมากขึ้น จากเดิมที่ใช้ของ CPO A ก็มองหา CPO B ที่มีราคาที่ถูกลง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในด้านราคา ให้มีการแข่งขันได้ดีขึ้น
ทั้งนี้ ในภาวะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) และราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น บริษัทยืนยันว่าไม่มีปัญหาในเรื่องของการสต็อกสินค้า เนื่องจากมีการบริหารจัดการสต็อกได้อย่างเหมาะสม หรือไม่สูงและต่ำจนเกินไป จากการผลิตที่ค่อนข้างนิ่ง ซึ่งปัจจุบัน GGC มีปริมาณสินค้าคงคลังราว 25 วัน ส่วนด้านการตลาดก็มีการประสานงานกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด โดยมีการทำงานร่วมกันและนำเสนอวิธีการใหม่ๆ เพื่อให้ประโยชน์กับลูกค้าของ GGC และประโยชน์ในการทำธุรกิจร่วมกันด้วย
สำหรับปัจจัยที่จะเข้ามาส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในปีนี้ ได้แก่ คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโต 3.9% (เป็นตัวเลขก่อนเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน), Feed Stock ราคามีความผันผวน แต่บริษัทมีการบริหารจัดการได้ดี, การแข่งขันที่รุนแรง และราคาเอทานอล ยังต้องขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาล แต่คาดว่าปีนี้จะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามในปัจจัยลบก็ยังมีปัจจัยบวกอยู่ ซึ่งบริษัทฯ ก็เตรียมนำดิจิทัลมาปรับปรุงการผลิต รวมทั้งคิดวิธีการใหม่ๆ เกี่ยวกับเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์อื่นๆ โดยอยู่ระหว่างการศึกษา
นายไพโรจน์ กล่าวว่า ด้านโครงการนครสวรรค์ ไบโอคอมเพล็กซ์ เฟส 1 ปัจจุบันได้เริ่มเดินเครื่องแล้ว และเริ่มหีบอ้อยแล้วประมาณ 2 แสนตัน โดยระยะต่อไปจะดำเนินการผลิตเอทานอล คาดว่าจะผลิตได้ปลายเดือนมี.ค.นี้ และคาดรายได้และกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ก็น่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ แต่บริษัทยังไม่สามารถบอกได้ในขณะนี้ เนื่องจากขอดูการดำเนินธุรกิจของโรงงานก่อน