นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่ยังไม่กลับมาตามที่คาดหวังไว้ รวมถึงยังต้องเผชิญกับความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่หลายประเทศก็ออกมาคว่ำบาตรรัสเซียจากการโจมตียูเครน อีกทั้งยังมีเรื่องของภาวะเงินเฟ้อ, ภาวะโลกร้อน และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจเร่งตัวขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น และเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไปทั่วโลก
ทั้งนี้ ด้วยต้นทุนพลังงาน หรือต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น จะกระทบต่อธุรกิจหลัก หรือธุรกิจเคมีภัณฑ์ของบริษัทอย่างมาก เนื่องจากมีต้นทุนนาฟตามากถึง 70-80% รองลงมา คือ ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง โดยมีต้นทุนพลังงาน 15-20% ของต้นทุนรวม ขณะที่ธุรกิจแพ็คเกจจิ้งจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เนื่องจากมีต้นทุนพลังงานราว 5% เท่านั้น
แต่ผลกระทบต่อยอดขายยืนยันว่ามีไม่มากนัก เนื่องจากบริษัทมียอดขายที่มาจากยูเครนและรัสเซียคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1-2% ของยอดขายรวม และยังเตรียมที่จะปรับราคาขายขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามกลไกตลาด แต่ก็จะทำให้ผู้บริโภครับผลกระทบน้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าคงจะกระทบกับกำไรอย่างแน่นอน ซึ่งบริษัทยังไม่สามารถประเมินตัวเลขได้ โดยยังคงบริหารจัดการต้นทุน บริหารจัดการซัพพลายเชน และบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินให้ดีอย่างต่อเนื่อง
บริษัทยังคงงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 80,000 ล้านบาท โดยประมาณครึ่งหนึ่งจะใช้ลงทุนในโครงการ Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP 1) ประเทศเวียดนาม ที่ดำเนินการไปแล้ว 90% ส่วนที่เหลือเตรียมไว้สำหรับการลงทุนใหม่ๆ ซึ่งอาจต้องทบทวนอีกครั้ง จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันว่าจะสามารถลงทุนอย่างไรให้อยู่ในกรอบที่บริษัทสามารถบริหารความเสี่ยงได้ดีที่สุด เพราะหากเป็นโครงการที่มีผลกระทบต่อการใช้เงินระยะยาวจะต้องพิจารณาให้ดีที่สุด