นางสาวอริศรา สกุลการะเวท ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ.บ้านปู (BANPU) เปิดเผยว่า บริษัทวางงบลงทุนในปี 65 จำนวน 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะใช้ลงทุนธุรกิจก๊าซ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ธุรกิจพลังงานไฟฟ้า 700 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 400 ล้านเหรียญสหรัฐ และโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนอีก 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ลงทุนเทคโนโลยีพลังงาน
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BANPU กล่าวว่า การลงทุนของบ้านปูก็ยังคงโฟกัสไปที่ธุรกิจก๊าซ โรงไฟฟ้าก๊าซและพลังงานหมุนเวียน (Renewable) ในภูมิภาคและประเทศที่บริษัทลงทุนอยู่ทั้งในสหรัฐฯ เอเชียแปซิฟิค อาทิ อินโดนีเซีย เวียดนาม จีน ญี่ปุ่น รวมถึง ออสเตรเลีย ภายใต้ความกดดันจากวิกฤติการระบาดโควิด และวิกฤติสงครามรัสเซียและยูเครน บริษัทน่าจะยังสามารถจัดสรรการลงทุนได้อย่างเหมาะสม
และบริษัทมีความมั่นใจความพร้อมด้านการเงิน จากกระแสเงินสดที่มาจากกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ 1,778 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 64 และบริษัทยังออกหุ้นกู้ 1.2 หมื่นล้านบาทเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา และเบิกเงินกู้บางส่วน นอกจากนี้ ก็ยังมีเงินจากหุ้นเพิ่มทุนที่ได้แปลงสภาพจากใบสำคัญแสดงสิทธิ์ (warrant) ในราคา 5 บาท/หุ้น ก็จะได้เงินกว่า 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ฉะนั้น ทำให้ BANPU มีความพร้อมในการลงทุนต่อเนื่อง
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BANPU กล่าวว่า ทิศทางของบริษัทก็จะยังมุ่งธุรกิจ Energy Resouce เหมืองในทุกประเทศมีการผลิตด้วยต้นทุนที่เหมาะสม และสร้างมูลค่าเพิ่ม พร้อมทั้งหาโอกาสลงทุนธุรกิจเหมืองแร่อื่นที่ไม่ใช่ถ่านหิน รวมถึงแหล่งก๊าซในสหรัฐ จะโฟกัสการขายก๊าซที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ และยังลงทุนเพิ่ม ภายใต้กลยุทธ์ Greener Smarter โดยการลงทุนธุรกิจก๊าซในสหรัฐ เป็นการเข้าสู่โอกาสการลงทุนธุรกิจไฟฟ้า อย่างโรงไฟฟ้า Temple 1 ส่วนพลังงานหมุนเวียนก็จะลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสร้างรายได้เพิ่มในปี 65 โดยมองประเทศเวียดนาม ญี่ปุ่น จีน อินโดนีเซีย สหรัฐ และออสเตรเลีย
ด้านนายฐิติ เมฆวิชัย ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร -ธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ BANPU เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อแหล่งก๊าซในสหรัฐฯ คาดว่าจะได้เห็นข้อสรุปชัดเจนแน่นอน แต่จะช้าหรือเร็วขึ้นกับการเจรจาเรื่องราคา
นางสมฤดี กล่าวอีกว่า สำหรับผลประกอบการในปี 65 คาดว่าด้วยราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติยังปรับตัวสูงขึ้น จะสนับสนุนให้ผลประกอบการของบริษัทเติบโตต่อเนื่องจากปี 64 ที่มีรายได้รวม 4,124 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 81% ซึ่งในปีก่อนหน้าการเติบโตก็มาจากราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน
นายฐิติ กล่าวว่า ในปี 65 คาดว่าจะมีปริมาณการผลิตและขายก๊าซธรรมชาติจะทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนที่ 2.46 แสนล้านลูกบาศก์ฟุต (ลบ.ฟ.) หรือ 700 ล้าน ลบ.ฟุต/วัน ราคาขายน่าจะอยู่ที่ 4-5 เหรียญสหรัฐ/พัน ลบ.ฟุต จากปีก่อนราคาเฉลี่ย 3.61 เหรียญสหรัฐ/พัน ลบ.ฟ.เพิ่มขึ้น 94% จากปีก่อนหน้าที่ 1.86 เหรียญสหรัฐ/พัน ลบ.ฟ.จึงคาดว่าในปี 65 จะเป็นปีที่ดีสำหรับธุรกิจก๊าซ
ขณะที่ธุรกิจถ่านหิน นายจามร จำเมือง ผู้อำนวยการสายวิศวกรรมเหมือง BANPU คาดว่า ยอดขายถ่านหินปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 42-43 ล้านตัน มาจากเหมืองของบริษัท 40 ล้านตัน และซื้อจากแหล่งอื่น 2-3 ล้านตัน จากปีก่อนมียอดขาย 36 ล้านตัน ราคาถ่านหินน่าจะทำระดับสูงสุด หรือมากกว่า 300 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากในไตรมาส 4/64 ราคาอยู่ที่ 249 เหรียญสหรัฐ/ตัน และเดือน ม.ค.65 อยู่ที่ 258 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากความต้องการเพิ่มขึ้น และวิกฤติสงครามรัสเซียและยูเครน โดยบริษัทมีการขายล่วงหน้าถ่านหินในอินโดนีเซียไปแล้วกว่า 40% อิงกับราคาตลาด (Indexed) ภาพรวมก็ยังเป็นบวก
นายกิรณ ลิมปพยอม ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-ธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม BANPU และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) กล่าวว่า บริษัทคาดว่าในปี 65 จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 841 เมกะวัตต์ (MW) โดยมีหลายโครงการที่อยู่ระหว่างทำ Due Diligence
ปัจจุบัน ธุรกิจไฟฟ้ามีกำลังผลิต 4,142 เมกะวัตต์อยู่ใน 8 ประเทศ โดยมีทั้งโรงไฟฟ้าพลังานความร้อนร่วม 3,244 เมกะวัตต์ และพลังงานหมุนเวียน (Renewable) 898 เมกะวัตต์
แม้ว่าค่าเชื้อเพลิงตลาดโลกสูงขึ้นจากวิกฤติสงครามรัสเซียและยูเครน แต่บริษัทได้รับผลกระทบไม่มาก อย่างกรณีของโรงไฟฟ้าหงสาที่เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่ที่ตั้งอยู่ใกล้เหมืองก็ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบ หรือโรงไฟฟ้า BLCP มีสัญญาซื้อขายเชื้อเพลิงระยะยาวก็ไม่รับผลกระทบ
ส่วนนายสมศักดิ์ สิทธินามสุวรรณ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-ธุรกิจเหมือง BANPU กล่าวว่า บริษัทเตรียมเข้าลงทุนเหมืองแร่อื่นที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน อย่าง นิกเกิล ลิเธียม อลูมิเนียม ในออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย โดยยังศึกษาว่าจะเป็นการลงทุนใหม่ หรือลงทุนเหมืองที่ดำเนินการอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันราคาแร่ต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้น อาจไม่ใช่จังหวะที่จะจบดีลได้โดยเร็ว และยังต้องประเมินความต้องการแร่ในอนาคตด้วย