ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ ITD ไม่เกิน 6 พันลบ.ที่ BBB- แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday March 11, 2022 16:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) ที่ระดับ "BBB-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 6 พันล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 5 ปี ของบริษัทที่ระดับ "BBB-" เช่นเดียวกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ในการชำระคืนหุ้นกู้ชุดเดิม

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่สุดภายในประเทศ รวมถึงความสามารถในการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงมูลค่าโครงการที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) จำนวนมากและมีความหลากหลาย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวถูกลดทอนจากภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับสูง และการแข่งขันที่รุนแรงในงานรับเหมาก่อสร้าง อันดับเครดิตยังถูกลดทอนจากการลงทุนในหลาย ๆ โครงการที่ยังไม่ก่อให้เกิดรายได้ซึ่งยากต่อการทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้น

ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 64 ใกล้เคียงกับประมาณการของทริสเรทติ้ง ถึงแม้ว่าโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด-19) จะแพร่ระบาดอย่างหนัก แต่รายได้ของบริษัทก็เพิ่มขึ้น 8.5% จากปีก่อน มาอยู่ที่ 5.93 หมื่นล้านบาท ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวเป็น 9.4% เพิ่มขึ้นจาก 8.9% ในปี 63 ทริสเรทติ้งคาดว่าผลกำไรของบริษัทจะเติบโตได้ต่อเนื่อง เมื่อพิจารณาถึงโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่จะเปิดประมูลและโอกาสได้งานก่อสร้างใหม่ของบริษัท ณ เดือนธันวาคม 64 บริษัทมีมูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบจำนวน 2.95 แสนล้านบาท

โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้อยู่ที่ระดับ 6.6 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 65-66 และคาดว่ามูลค่างานในมือจำนวนมากของบริษัทจะช่วยรักษาระดับรายได้ประมาณ 65% ของรายได้ในปี 65 และ 50% ในปี 66 และยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ที่ 9.5%-10% เอาไว้ได้ ในขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้คาดว่าจะอยู่ในระดับ 10%-11% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ 6.8-7.1 พันล้านบาทต่อปี

บริษัทมีโครงสร้างเงินทุนที่มีภาระหนี้สูง โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 73%-74% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงเช่นนี้ต่อไปอีกในช่วง 3 ปีข้างหน้า บริษัทจะต้องรักษาอัตราส่วนภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นให้ไม่เกิน 3 เท่าเพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขในสัญญาของหุ้นกู้ โดยอัตราส่วนนี้อยู่ที่ 2.34 เท่า ณ เดือนธันวาคม 64 ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของหุ้นกู้ในช่วงที่ประมาณการนี้ไว้ได้

ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่ค่อนข้างตึงตัวในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ณ เดือนธันวาคม 64 บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 3.14 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากพิจารณาแหล่งเงินทุนของบริษัท ซึ่งประกอบด้วยกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในแต่ละปี เงินสด และวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้ คาดว่าบริษัทจะต้องต่ออายุเงินกู้ยืมส่วนใหญ่ออกไปเพื่อที่จะรักษาสภาพคล่องเอาไว้และใช้เป็นเงินทุนในโครงการในอนาคตต่อไป ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถจัดการต่ออายุเงินกู้ยืมออกไปได้ โดยภาระหนี้ส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ยืมเพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างซึ่งมีกำหนดชำระคืนตามความก้าวหน้าของโครงการก่อสร้าง โดยบริษัทมีความสามารถในการทำงานให้สำเร็จลุล่วง และมีความเสี่ยงในการจ่ายค่าก่อสร้างของเจ้าของโครงการเป็นที่ยอมรับได้

การจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทให้เท่ากับอันดับเครดิตของบริษัทนั้น เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมต่ำกว่าเกณฑ์ที่ 50% ตามเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้ของทริสเรทติ้ง ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงมิได้คาดว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันจะด้อยสิทธิกว่าเจ้าหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนอย่างมีนัยสำคัญ ณ เดือนธันวาคม 64 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมอยู่ที่ 48%

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะทางการตลาดและความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ สามารถประมูลงานใหม่จำนวนมากได้อย่างต่อเนื่อง และความสามารถในการทำกำไรและสภาพคล่องจะปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทยังคงรักษาอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทให้อยู่สูงกว่า 10% ได้ และคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะสอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง ซึ่งจะช่วยเพิ่มกระแสเงินสดเพื่อใช้รองรับกับภาระหนี้ได้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง จากสถานะการเงินที่ค่อนข้างอ่อนแอของบริษัททำให้โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้ามีค่อนข้างจำกัด ทั้งนี้ คาดว่าภาระหนี้จะยังคงอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตจะปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทสามารถลดภาระหนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่อันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้หากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดลงซึ่งอาจเกิดจากจากการแข่งขันที่รุนแรงในการประมูลงานใหม่ งานก่อสร้างที่ล่าช้า หรือต้นทุนก่อสร้างเกินงบประมาณ โดยอันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้หากอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทลดลงเหลือเพียง 7% หรืออัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินลดลงต่ำกว่า 5% อย่างต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ