บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) ที่ระดับ "A-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" พร้อมทั้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 6.5 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "A-" ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้เดิม และ/หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน ตลอดจนใช้เป็นเงินลงทุนของบริษัทและของบริษัทในเครือ
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทตลอดจนผลงานในธุรกิจพัฒนาคลังสินค้าตามความต้องการของลูกค้า (Built-to-suit Warehouse) และธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงฐานรายได้ประจำจำนวนมากที่บริษัทได้รับจากธุรกิจสินทรัพย์ให้เช่า ตลอดจนธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภค และเงินปันผลจากการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า
ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2564 เป็นไปตามที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้แม้ว่าบริษัทจะเผชิญกับผลกระทบจากมาตรการจำกัดการเดินทางอันเป็นผลมาจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ยืดเยื้อก็ตาม โดยรายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 1.2 หมื่นล้านบาทในปี 2564 ในขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทก็เพิ่มขึ้น 13.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 6.4 พันล้านบาท
ทั้งนี้ กระแสเงินสดจำนวนมากที่บริษัทได้รับจากการจำหน่ายสินทรัพย์ให้แก่ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) ส่งผลให้ภาระหนี้เมื่อเทียบกับกระแสเงินสดของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเป็นอย่างมาก อนึ่ง บริษัทมีหนี้สินทางการเงินอยู่ที่ระดับ 3.5 หมื่นล้านบาทในปี 2564 ซึ่งลดลงจากระดับ 3.8 หมื่นล้านบาทในปี 2563 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ที่ระดับ 5.5 เท่าในปี 2564 ซึ่งลดลงจาก 6.7 เท่าในปี 2563
ตามข้อกำหนดทางการเงินของหุ้นกู้ที่ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนให้ต่ำกว่า 2.5 เท่านั้น ณ สิ้นปี 2564 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.1 เท่า ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทน่าจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดช่วงระยะเวลาประมาณการในระหว่างปี 2565-2566
ณ เดือนธันวาคม 2564 บริษัทมีหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนจำนวน 1.6 หมื่นล้านบาทตาม "เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้" ของทริสเรทติ้ง โดยหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนซึ่งเป็นหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัทและของบริษัทย่อยนั้นมีอัตราส่วนเมื่อเทียบกับหนี้สินทางการเงินรวมของบริษัทแล้วอยู่ที่ระดับ 41% ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่ระดับ 50% ทริสเรทติ้งจึงเห็นว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทไม่มีความเสียเปรียบอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใดเมื่อพิจารณาจากลำดับชั้นในการได้รับคืนหนี้เมื่อเทียบกับสินทรัพย์ของบริษัท
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจคลังสินค้าและนิคม อุตสาหกรรมต่อไปได้ และสามารถควบคุมระดับภาระหนี้สินได้โดยรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ให้อยู่ที่ระดับประมาณ 7 เท่า
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากรายได้และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงกว่าที่คาดการณ์ไว้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ การลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินกู้จำนวนมากซึ่งจะส่งผลให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงและลดทอนความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทก็จะเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตได้ด้วยเช่นกัน ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากกระแสเงินสดของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงและมีนัยสำคัญโดยที่บริษัทสามารถปรับปรุงโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่งไปพร้อมกันได้